7 องค์กรภาคเอกชน ออกแถลงยันมีความจำเป็นต้องเดินหน้าสู่การปฏิรูปทันที
7 องค์กรภาคเอกชน หนุนการปฏิรูป แนะจัดตั้งองค์กร ทำหน้าที่ปฏิรูปในทันทีก่อนเลือกตั้ง โดยความเห็นชอบของพรรคการเมือง-ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย พร้อมออกเป็นพระราชกำหนดรับรอง ให้เกิดความเชื่อมั่น
วันที่ 23 ธันวาคม 7 องค์กรภาคเอกชน นำโดยนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าไทย หารือครั้งที่ 2 เรื่อง การปฏิรูปประเทศไทย ก่อนออกแถลงการณ์ ดังนี้
1. ตามที่ได้เกิดความขัดแย้งรุนแรงอย่างต่อเนื่องในสังคมไทยปัจจุบัน และมีแนวโน้มว่า ความขัดแย้งนี้จะลุกลามไปอย่างไม่สิ้นสุด จนบัดนี้ได้สร้างความแตกแยกในบ้านเมืองอย่างร้าวลึก 7 องค์กรภาคเอกชน เห็นว่า มีความจำเป็นต้องแสวงหาทางออกอย่างเร่งด่วน จึงได้ร่วมกันจัดเวทีกลางเพื่อรับฟังความเห็นและแนวทางแก้ไขจากกลุ่มต่างๆที่เกี่ยวข้อง ทั้งที่เป็นคู่ขัดแย้ง กลุ่มประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทูตานุทูต และภาคธุรกิจต่างประเทศมาโดยตลอด ทุกฝ่ายเห็นร่วมกันว่า จำเป็นต้องมีการปฎิรูปอย่างเร่งด่วนเพื่อความผาสุกอย่างยั่งยืนของประเทศเป็นสำคัญ
2. 7 องค์กรภาคเอกชน ได้รับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชนอย่างครอบคลุมแล้ว ต่างมีความเห็นว่า ไม่อยากให้ประเทศเข้าสู่สภาวะสิ้นหวัง และมองเห็นสถานการณ์เป็นโอกาสและเป็นหน้าต่างแห่งทางเลือก ซึ่งบัดนี้เป็นที่น่าพอใจในระดับหนึ่งว่า สถานการณ์ได้มีการพัฒนาไปในทางที่ไม่ใช้ความรุนแรงมาโดยลำดับ จึงใคร่ขอบคุณทุกฝ่ายที่ใช้ความอดกลั้นและขันติธรรมมาโดยตลอด
3. อย่างไรก็ตาม 7 องค์กรภาคเอกชนเห็นว่า แม้การพัฒนาได้เป็นไปในทางที่ไม่ใช้ความรุนแรง แต่ก็ยังไม่สามารถหาทางออกให้กับประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ การยุติความขัดแย้งจึงจำเป็นที่จะต้องฟังเสียงเครือข่ายปฏิรูปที่มีความหลากหลาย และได้เชิญองค์กรและบุคคลหลายฝ่ายมาร่วมสะท้อนความเห็น จนได้ข้อสรุปว่า มีความจำเป็นต้องเดินหน้าสู่การปฏิรูปทันที โดยมีกระบวนการปฏิรูปดังนี้
3.1. จัดตั้งองค์กร ที่ทำหน้าที่ปฏิรูปในทันทีก่อนการเลือกตั้ง โดยความเห็นชอบของพรรคการเมืองและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย และมีการรับรองตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นแก่ทุกฝ่าย เช่น อาจออกเป็นพระราชกำหนด
3.2. องค์กรนี้เป็นองค์กรที่ปลอดจากอิทธิพลทางการเมือง
3.3. วาระการทำงานขององค์กร เป็นวาระแห่งชาติเพื่อทำการปฏิรูปโดยเฉพาะ
4. กรอบประเด็นสำคัญของการปฏิรูป มีดังต่อไปนี้
4.1. กติกาการเข้าสู่อำนาจรัฐที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ร่วมกัน เช่นระบบการเลือกตั้งที่ปราศจากการซื้อเสียงและใช้อิทธิพลใดๆ และความโปร่งใสของกระบวนการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระต่าง ๆ
4.2. การตรวจสอบและถ่วงดุลการใช้อำนาจรัฐของผู้แทนประชาชน องค์กรอิสระ และสถาบันทางการเมืองต่างๆ เช่น เรื่องการแต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการ
4.3. การขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ ภาคเอกชน ตลอดจนในภาคส่วนต่าง ๆ ของสังคม
4.4. โครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมที่เอื้อต่อการสร้างความเป็นธรรมในการจัดสรรและเข้าถึงทรัพยากรในสังคม และลดความเหลื่อมล้ำโดยมีการส่งเสริมการเพิ่มผลิตภาพของประชาชน ให้พึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน
4.5. โครงการที่จะมีผลกระทบต่อประชาชน ระบบเศรษฐกิจ และวินัยการคลัง ควรต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยถือผลประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก
4.6. กระบวนการยุติธรรมที่สร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนว่าจะได้รับความเป็นธรรมอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน
7 องค์กรภาคเอกชน มีความเห็นว่าการปฏิรูปมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด และต้องทำทันที ไม่ว่าจะมีการเลือกตั้งเมื่อใด จึงใคร่ขอเชิญชวน ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม ทั้งนี้ 7 องค์กรภาคเอกชนใคร่ขอวิงวอนให้ทุกฝ่ายใช้ความสุขุมรอบคอบและวิจารณญาณที่จะช่วยแก้ไขปัญหาชาติ โดยขอเรียกร้องดังนี้
1. ให้นักการเมืองและคู่ขัดแย้งทางการเมืองทุกฝ่ายได้ตระหนักถึงผลเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศชาติ และหันมาเจรจาหาทางออกจากวิกฤตการทางการเมืองนี้ร่วมกันบนพื้นฐานของผลประโยชน์ของชาติ ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2.ให้ทุกฝ่ายแสดงความจริงใจต่อการแก้ปัญหาของประเทศ โดยเข้าร่วมกระบวนการปฏิรูป
3.รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มีภารกิจหลักในการสนับสนุนการปฏิรูปตามข้อเสนอแนะขององค์กรเพื่อการปฏิรูป และในเวลาเดียวกันให้บริหารประเทศและเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เกิดการสะดุดและชะงักงันต่อการพัฒนาประเทศ และควรทำภารกิจข้างต้นให้เสร็จสิ้นอย่างเร็วที่สุดแต่ไม่ควรเกิน 1 ปี