ปฏิรูปประเทศไทย 8 เรื่อง
ปฏิรูปประเทศไทย 8 เรื่อง
โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี
ขณะนี้มีความตื่นตัวเรื่องปฏิรูปประเทศไทยกันอยู่ทั่วไป คงจะมองการปฏิรูปด้วยทัศนะต่างๆกัน ก็เป็นสิทธิของแต่ละคน สำหรับผมเอง การปฏิรูปประเทศไทยเป็น “เนื้อหา” ของการเปลี่ยนแปลงประเทศไม่ใช่การต่อสู้เพื่อให้ได้อำนาจทางการเมืองเพราะอำนาจที่ปราศจาก “เนื้อหา” ก็ยังไม่สามารถสร้างศานติสุขได้ ดังที่เรามีการต่อสู้ทางการเมืองกันตลอดมาตั้งแต่ 2475 และมีรัฐธรรมนูญถึง 18 ฉบับแล้ว
หรือแม้แต่ฟิลิปปินส์ที่พลังประชาชนโค่นมาร์กอสลงได้และยกคอราซอนอาคีโน ขึ้นเป็นประธานาธิบดี และอาคีโนก็เป็นคนดี แต่ก็แก้ปัญหาพื้นฐานของฟิลิปปินส์คือความยากจนและความอยุติธรรมในสังคมไม่ได้
หรือในแอฟริกาใต้ที่ผ่านการต่อสู้ครั้งประวัติศาสตร์ภายใต้การนำของเนลสันแมนเดลา สามารถปลดแอกจากคนขาวที่เข้ามาปกครองอย่างกดขี่ได้ ซึ่งก็สำคัญมาก ขณะนี้ก็ยังเผชิญปัญหาความยากจน ปัญหาสังคม โรคเอดส์ ความรุนแรง
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเขมรแดงที่ฆ่ากันตายเป็นล้านคน เดี๋ยวนี้ก็ยังแก้ปัญหาพื้นฐานคือความยากจนและความอยุติธรรมในสังคมไม่ได้
หรือแม้ประเทศที่มีประชาธิปไตยที่มีวุฒิภาวะแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา และอังกฤษก็กลับเกิดความเหลื่อมล้ำอย่างสุดๆ และว่า ต้องการการปฏิรูปก็ยังไม่รู้จะปฏิรูปอย่างไร เพราะประชาธิปไตยก็มาจนสุดซอยแล้ว
ฉะนั้น ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล คนไทยควรร่วมกันขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศไทยที่เป็น “เนื้อหา” ของการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยอันจะนำไปสู่ศานติสุขได้อย่างแท้จริง
ประเทศไทยติดอยู่ในโครงสร้างอำนาจที่ไม่เป็นธรรมมาช้านาน การปฏิรูปจึงควรปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ การปฏิรูปเป็นเรื่องยากต้องอาศัยพลังพลเมืองที่เข้มแข็ง การปฏิรูปและการสร้างพลังพลเมืองที่เข้มแข็งจึงต้องควบคู่กันไป
ข้างล่างนี้เป็นข้อเสนอการปฏิรูป 8 เรื่องแต่ขอให้ถือว่าเป็นการเสนอให้คิดเท่านั้น อย่ายึดถือตายตัว แต่ละกลุ่มแต่ละเครือข่ายสามารถคิดอย่างหลากหลายตามที่กลุ่มคิดว่ามีความสำคัญ ในที่สุดเมื่อสังเคราะห์จากความหลากหลายแล้วน่าจะดีกว่าที่ผมนำเสนอ
เรื่องที่ควรปฏิรูป 8 เรื่องนั้นคือ (ดูรูปประกอบ)
1. ปฏิรูประบบการปกครอง ถือเป็นสำคัญที่สุด เพราะระบบการปกครองโดยรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางมากเกินและนานเกิน เป็นต้นตอของปัญหาเกือบทุกชนิดในประเทศไทย ทั้งปัญหาความขัดแย้งความรุนแรงทุจริตคอร์รัปชั่นรัฐล้มเหลว การเมืองรุนแรงและไม่มีคุณภาพ ตลอดจนทำให้ทำรัฐประหารได้ง่ายจึงจำเป็นต้องปฏิรูประบบการปกครอง โดยคืนอำนาจให้ประชาชนปกครองตนเอง ในรูปของชุมชนจัดการตนเอง ท้องถิ่นจัดการตนเอง จังหวัดจัดการตนเอง ที่ประชาชนในจังหวัดต่างๆกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้
การรวมตัวร่วมคิดร่วมทำจัดการตนเองทั้ง 3 ระดับ จะทำให้เกิดพลังพลเมืองขึ้นทั้งประเทศเป็นพลังสมานฉันท์ที่ก้าวข้ามสีเสื้อต่างๆ ที่พัฒนาสมรรถนะในการจัดการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการ และจัดการพัฒนานโยบายประเทศจะเข้มแข็งขึ้นจากฐานราก เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ภาครัฐควรปรับตัวจากการทำเอง ไปสนับสนุนการจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่นและจังหวัด มีกฎหมายเป็นร้อยฉบับที่ดึงอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง จำเป็นต้องปลดล็อคกฎหมายเหล่านี้ให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถจัดการตนเองได้อย่างแท้จริง รวมทั้งปฏิรูปงบประมาณเพื่อสนับสนุนความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น มหาวิทยาลัย ภาคธุรกิจ ภาคการสื่อสาร ควรสนับสนุนการจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่น ถ้าได้ทำตามนี้บ้านเมืองจะสงบเย็นไปเป็นอันมาก และทำให้ประชาธิปไตยมีคุณภาพ
2. ปฏิรูประบบการเมืองและระบบราชการ ระบบรัฐไทย
อันประกอบด้วยระบบการเมืองและระบบราชการมีปัญหามาก และถ่วงความเจริญของประเทศเพราะเป็นระบบอำนาจที่มีสติปัญญาน้อย แต่มีความฉ้อฉลคอร์รัปชั่นมาก มีการทุ่มเทขนาดใหญ่เข้ามาใช้ทางการเมือง ทำให้เงินมีอำนาจมาก ความถูกต้องเป็นธรรมน้อยลง และการมีระบบการเมืองครอบงำระบบราชการหมดทั้งเนื้อทั้งตัว ทำให้เกิดการเล่นพรรคเล่นพวก และความเสื่อมทรามในระบบราชการ ไม่เป็นหลักของประเทศได้ และยิ่งทำให้คอร์รัปชั่นระบาดและรุนแรงมากขึ้น
จึงควรมีการปฏิรูปการเมือง ลดอำนาจเงิน โครงสร้างพรรคควรเป็นประชาธิปไตยไม่ใช่นายทุนเป็นเจ้าของพรรค พรรคต้องเป็นสถาบันที่มีความรู้ ความดี ให้การศึกษาประชาชน สามารถคัดคนดีมีความสามารถเข้าไปทำหน้าที่มีความโปร่งใสที่ตรวจสอบได้ การแบ่งเป็นฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านอย่างตายตัวเป็นของล้าสมัย บุคคลควรสมัครรับเลือกตั้งได้โดยไม่จำกัดพรรค ส.ส.ควรมีอิสระที่จะใช้วิจารณญานของตัวเอง เรื่องที่สำคัญของประเทศ ส.ส. ไม่ว่าพรรคใดควรต้องร่วมคิดร่วมทำได้ เป็นต้น
ควรจัดความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับระบบราชการใหม่ การเมืองทำแต่นโยบาย ห้ามไปล้วงลูกระบบราชการ ระบบราชการควรเป็นอิสระ มีศักดิ์ศรี มีความรู้ มีสมรรถนะ สามารถสนองนโยบายของการเมืองและสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นได้ การไม่ให้ฝ่ายการเมืองมีอำนาจครอบงำระบบราชการโดยเบ็ดเสร็จจะช่วยลดคอร์รัปชั่นลงไปได้เกือบหมด ถ้าระบบราชการเป็นหลักของบ้านเมืองได้ แม้ฝ่ายการเมืองจะยังด้อยความรู้ไปบ้าง บ้านเมืองก็ยังไม่เป็นไร ความสัมพันธ์ใหม่จะทำให้ทั้ง 3 ส่วนมีสัมพันธภาพเชิงสร้างสรรค์
3.ปฏิรูปการขจัดคอร์รัปชั่น
คอร์รัปชั่นที่มากมายมหาศาลบ่อนทำลายเศรษฐกิจ สังคม ชื่อเสียงของประเทศ รวมทั้งบ่อนทำลายรัฐบาลด้วย ขณะนี้สังคมไทยมีอารมณ์ร่วมในการต่อต้านคอร์รัปชั่นมาก ควรใช้เป็นเรื่องที่จะสร้างพลังพลเมืองและประเด็นนำเข้าไปสู่การทำความเข้าใจโครงสร้างอำนาจที่ไม่ถูกต้อง
ความริเริ่มของภาคธุรกิจในการก่อตั้งองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นที่มีคุณประมนต์ สุธีวงศ์ เป็นประธานได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ควรมีเครือข่ายคนไทยต่อต้านคอร์รัปชั่น อย่างกว้างขวางทั่วประเทศ ที่ประกอบด้วยเครือข่ายภาคธุรกิจ มหาวิทยาลัย นิสิต นักศึกษา สื่อมวลชน คนรุ่นใหม่ เครือข่ายสาธารณสุข ฯลฯ องค์การต่อต้านคอร์รัปชั่นได้วางยุทธศาสตร์ต่อต้านคอร์รัปชั่นไว้ว่าควรจะต้องทำอะไรบ้าง ซึ่งถ้าได้ทำตามนั้นจะมีพลังมาก แต่ก็อาจช่วยกันเพิ่มเติมเสริมแต่งได้อีก
ข้อสำคัญ คือ ใช้เรื่องนี้ซึ่งจับอารมณ์ของสังคมได้ง่าย เป็นการสร้างพลังพลเมืองให้เข้มแข็ง พลังพลเมืองที่เข้มแข็งมีประโยชน์ต่อเรื่องอื่น ๆ อีกต่อไป
4. ปฏิรูปการจัดสรรทรัพยากรให้เป็นธรรม
คนเราที่เกิดมาทุกคนมีสิทธิที่จะมีชีวิต การมีชีวิตต้องอาศัยธรรมชาติแวดล้อม เช่น มีอากาศหายใจ ในครั้งโบราณคนทุกคนมีสิทธิในที่ดิน แหล่งน้ำ ป่าไม้ เพื่อยังชีวิต ต่อมารัฐได้ยึดเอาทรัพยากรเหล่านี้ไปเป็นของรัฐและสุดแต่รัฐจะจัดใครใช้ไม่ให้ใครใช้ ปรากฏว่ารัฐไม่สามารถจัดเการการใช้ทรัพยากรอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน การขาดความเป็นธรรมเรื่องการจัดสรรทรัพยากรเป็นเรื่องใหญ่ จำเป็นต้องมีการปฏิรูป ประเทศไทยมีที่ดินมากพอที่จะจัดสรรให้ทุกครอบครัวมีที่ดิน 2-3 ไร่ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยมีโครงการ “1 ไร่ 1 แสน บาท” ที่ดิน 1 ไร่ ก็สามารถทำได้พอกินทั้งครอบครัว การจัดสรรที่ทำกินจะทำให้หายจนอย่างถาวรทั้งประเทศ ต่างจากโครงการประชานิยมที่แก้จนไม่ได้จริง การมีที่ดินทำให้สามารถมี “สระน้ำประจำครอบครัว” ซึ่งทั้งประเทศจะเก็บน้ำได้มหาศาล ป้องกันน้ำท่วม ไม่ต้องไปสร้างเขื่อนให้เสียเงินและทะเลาะกัน นอกจากนั้นสระน้ำประจำครอบครัวยังไว้ใช้เลี้ยงปลา ปลูกผัก ปลูกต้นไม้ ความเป็นป่าจะกลับคืนมา การจัดสรรที่ดินจะทำให้ธรรมชาติคืนสู่สมดุล ป้องกันน้ำท่วมและความแห้งแล้ง เมื่อชาวบ้านมีความมั่นคงเรื่องที่อยู่อาศัยและอาหาร ก็จะไปเชื่อมโยงเกื้อกูลเศรษฐกิจมหภาค
คำว่า “ทรัพยากร” มีความหมายกว้าง ยังหมายถึงเรื่องภาษี ค่าภาคหลวงและอื่น ๆ การปฏิรูปการจัดสรรทรัพยากรให้เป็นธรรม จึงเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งของการปฏิรูปประเทศไทย
5. การปฏิรูประบบความยุติธรรม
ความยุติธรรมเป็นธรรมให้สังคมอยู่ร่วมกันด้วยความผาสุก ในระบบความยุติธรรมของรัฐ ซึ่งประกอบด้วย ตำรวจจับ อัยการส่งฟ้อง ศาลตัดสิน คนจนไม่มีทางเข้าถึงความยุติธรรม มีกรณีชาวไร่ชาวนาถูกฟ้องดำเนินคดีและถูกจำคุกก็มีด้วยข้อหาบุกรุกที่ดินของตัวเอง การไม่ได้รับความยุติธรรมสะสมความแค้นไว้ในสังคม อัยการก็ดี ตำรวจก็ดี ถูกครอบงำด้วยอำนาจทางการเมืองได้ง่าย บางครั้งก็มีปรากฏการณ์เหมือนรัฐตำรวจ ถ้าอำนาจทางการเมืองเข้ามาครอบงำระบบความยุติธรรม ความยุติธรรมก็จะบิดเบือนไป เพิ่มความขัดแย้งและความรุนแรงให้สังคม ควรมีการปฏิรูประบบความยุติธรรม ซึ่งรวมถึงระบบอัยการและระบบตำรวจด้วย
6. ปฏิรูประบบเศรษฐกิจ
ระบบเศรษฐกิจโลกมีปัญหาก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เป็นการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน สภาวะโลกร้อนหายนะภัยเพิ่มขึ้นๆ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมแบบสุดๆ กำลังก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงที่ทางการเมืองก็แก้ไขไม่ได้ ทั้งนี้ เพราะการคิดแบบแยกส่วนและทำแบบแยกส่วน อะไรที่แยกส่วนจะนำไปสู่วิกฤตเสมอ จึงควรปฏิรูประบบเศรษฐกิจให้เป็นเศรษฐกิจแบบบูรณาการ ที่เชื่อมโยงอยู่กับการพัฒนาสังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม สุขภาพ การศึกษา และประชาธิปไตย รูปธรรมคือ เชื่อมโยงเศรษฐกิจชุมชนกับเศรษฐกิจมหภาคให้เชื่อมโยงอย่างเกื้อกูลกัน
7. ปฏิรูประบบปัญญาของชาติ (การศึกษา-การวิจัย-การสื่อสาร)
ประเทศไทยอ่อนแอทางปัญญา เพราะอยู่ในภูมิประเทศที่อุดมสมบูรณ์และมีภัยพิบัติทางธรรมชาติน้อย จึงขาดความกระตือรือร้นและการตื่นตัวในการเรียนรู้ ถ้าเทียบกับคนจีนหรือญี่ปุ่น ประกอบกับเป็นสังคมอำนาจที่ชอบใช้อำนาจมากกว่าความรู้ และนำระบบราชการเข้ามาใช้กับระบบการศึกษา ซึ่งไม่ไปด้วยกัน เพราะการศึกษาเป็นเรื่องของความงอกงาม แต่ระบบราชการเป็นระบบการควบคุม
ความอ่อนแอทางปัญญากำลังมีผลกะทบต่อทุกเรื่อง จึงควรมีการปฏิรูประบบปัญญาของชาติ ทั้งเรื่องการเรียนรู้-การวิจัย-การสื่อสาร โดยการทำงานเชิงยุทธศาสตร์ ทำไม่ได้โดยผ่านระบบราชการตามปกติ
8. ปฏิรูปสังคม – สร้างพลังพลเมือง
สังคมไทยมีโครงสร้างแนวดิ่ง (Vertical Society) มาแต่โบราณ คือ เป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีอำนาจข้างบนกับผู้ไม่มีอำนาจข้างล่าง สังคมทางดิ่งจะมีพลังทางสังคมหรือพลังพลเมืองน้อย และมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนฉ้อฉลต่าง ๆ ทำให้เศรษฐกิจไม่ดี การเมืองไม่ดี และศีลธรรมไม่ดี และจะไม่มีวันดีตราบใดที่พลังพลเมืองยังอ่อนแออยู่ ไม่ว่าจะเขียนกฏกติกาหรือพร่ำสอนเท่าใด ๆ ดังที่เรามีรัฐธรรมนูญ 18 ฉบับ และพระก็สอนศีลธรรมทุกวัน ศีลธรรมก็ไม่เกิด
พลังทางสังคมเป็นเครื่องหยุดยั้งความไม่ดี เช่น ถ้าชาวบ้านทั้งหมู่บ้านรวมตัวกันก็หยุดยั้งโจรปล้นควายได้ ชาวบ้านที่สิเการวมตัวจึงแก้ปัญหาเรือประมงขนาดใหญ่เข้ามาใช้อวนลากอวนรุนชิดชายฝั่ง ผู้ลักลอบตัดไม้ทำลายป่ามีเงินมีปืนมีอิทธิพลเหนือเจ้าหน้าที่ป่าไม้ แต่เมื่อขึ้นไปที่ดอยสามหมื่นเจอชาวบ้านรวมตัวกันอยู่ 1,000 คน ก็ไม่สามารถทำชั่วได้
มหาตมะคานธีสู้กับพลังติดอาวุธของจักรภพอังกฤษด้วยพลังทางสังคมที่ใช้สันติวิธี มาร์ตินลูเธอร์คิง ต่อสู้กับการเหยียดผิวด้วยพลังทางสังคมด้วยสันติวิธี เนลสันแมนเดลาต่อสู้กับพลังอำนาจของคนขาวที่กดขี่แอฟริกาใต้ได้ด้วยพลังทางสังคมด้วยสันติวิธี
หรือ ตัวอย่างเร็ว ๆ นี้ รัฐบาลและรัฐสภามีอำนาจมหาศาลต้องยอมถอยเพราะพลังทางสังคมของผู้ประท้วงด้วยสันติวิธี ที่ประเทศอิตาลีภาคเหนือเศรษฐกิจดี การเมืองดี และศีลธรรมดี แต่ภาคใต้ตรงข้าม ทั้งนี้เพราะภาคเหนืองสังคมเข้มแข็ง ภาคใต้เป็นสังคมแนวดิ่ง สังคมอ่อนแอ สังคมเข้มแข็งเป็นปัจจัยชี้ขาดอนาคตของประเทศ จึงควรปฏิรูปสังคมจากสังคมแนวดิ่งให้เป็นสังคมแนวราบ ผู้คนมีความเสมอภาค รวมตัวร่วมคิดร่วมทำในทุกพื้นที่ ในทุกองค์กร และในทุกเรื่อง
โดยที่พลังพลเมืองเป็นหัวใจของการปฏิรูปทุกเรื่อง ตั้งแต่ 1-7 จึงวางไว้ที่ตรงกลาง ทุกจังหวัดควรมีการรวมตัวประชุมเรื่องการปฏิรูปประเทศไทย กำหนดเรื่องที่ควรปฏิรูปและการเคลื่อนไหวผลักดันการปฏิรูป และเชื่อมโยงกันทั้งประเทศ เป็นพลังพลเมืองปฏิรูปประเทศไทย โดยดึงทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมกัน
ประเด็นที่จะปฏิรูปล้วนเป็นเรื่องยาก ใช่ว่าเรียกร้องแล้วผู้ถูกเรียกร้องจะทำได้ แต่ต้องมีกระบวนการร่วมกันวิเคราะห์สังเคราะห์นโยบายให้ถึงขั้นปฏิบัติได้ ดังที่กระบวนการสมัชชาสุขภาพและกระบวนการสมัชชาปฏิรูปได้ฝึกให้ทุกภาคส่วนมาร่วมกันทำนโยบาย ควรศึกษากระบวนการพัฒนานโยบายจากสมัชชาสุขภาพและสมัชชาปฏิรูป จะเห็นว่าเป็นกระบวนการที่ผนึกพลัง5 ประการ หรือ “เบญจพละ” เข้ามาด้วยกันคือ (1) พลังทางสังคม (2) พลังทางปัญญา (3) พลังทางการจัดการ (4) พลังของความถูกต้อง (5) พลังแห่งสันติวิธี ในเรื่องยากๆ พลังอย่างใดอย่างหนึ่งไม่พอ แต่เมื่อพลังทั้ง 5 เข้ามาผนวกกัน ก็มากพอที่จะขยับเขยื้อนเคลื่อนการปฏิรูปประเทศไทยได้
ถ้าทุกภาคส่วนเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ (Interactive Learning Through Action) ปฏิรูปประเทศไทย จะเกิดสิ่งที่มีค่าอย่างยิ่ง คือ ความเชื่อถือไว้วางใจกัน (Trust) อันยังให้เกิดความสุขและความสำเร็จ คนไทยจะเกิดคุณภาพใหม่ มีสมรรถนะในการจัดการพัฒนาอย่างบูรณาการและจัดการพัฒนานโยบาย สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจในสังคม ขจัดความยากจนและความอยุติธรรม สร้างประเทศไทยที่น่าอยู่ที่สุด
หมอดูว่าปี 2560 ประเทศไทยจะสงบสุข
ผมก็เห็นตรงกัน ถ้าเราร่วมกันปฏิรูปประเทศไทยตั้งแต่บัดนี้