ผอ.มูลนิธิบูรณะนิเวศจี้ คพ.ยื่นฎีกาสู้คดีคลองด่านเต็มที่ย้ำอย่ากลัวแรงกดดัน
เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง และดาวัลย์ จันทรหัสดี เผยคดีคลองด่านกรมควบคุมมลพิษไม่มีทางแพ้ หากตั้งใจสู้อย่างเต็มที่ วอนคพ. และทนาย อย่าตกอยู่ภายใต้แรงกดดันของผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์จากการแพ้คดี
จากกรณีที่ศาลอุทธรณ์ตัดสินยกฟ้องคดีคลองด่านเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2556 มีผลทำให้บริษัทเอกชนทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับคดีอาญาฉ้อโกงสัญญาและฉ้อโกงที่ดิน ที่กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)เป็นโจทก์ยื่นฟ้องตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 พ้นผิด จากที่ก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นได้พิพากษาเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2552 ให้จำคุกบุคคลรายละ 3 ปี และนิติบุคคลสั่งปรับรายละ 6,000 บาท พร้อมกับยกฟ้องบริษัทกิจการร่วมค้า NVPSKG นั้น
น.ส.เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวว่าในฐานะที่ติดตามคดีนี้มานานถึง 10 ปีเราขอเรียกร้องให้ทนายฝ่ายโจทก์ทำคดีนี้อย่างเต็มความสามารถและด้วยจิตสำนึกของความเป็นตัวแทนประชาชนผู้เสียภาษีเนื่องจากเราเชื่อว่ากรณีนี้มีโอกาสสูงที่จะถูกแทรกแซงจากกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ จึงเรียกร้องให้ คพ. และทนาย อย่าตกอยู่ภายใต้แรงกดดันของผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์จากการแพ้คดี และควรรีบยื่นฎีกาโดยเร็วเพื่อต่อสู้คดีนี้ให้ถึงที่สุด และรักษาผลประโยชน์ของประเทศเนื่องจากถ้าหากแพ้คดี หรือไม่สามารถฎีกาได้ทันภายในกำหนด คือในวันที่ 19 ธันวาคมที่จะถึงนี้เท่ากับสละสิทธิ์ในการสู้คดี และเท่ากับแพ้คดีดังกล่าว
ผอ.มูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวอีกว่า หากคดีนี้ คพ. ต่อสู้จนได้รับชัยชนะ จะสามารถนำผลของคดีนี้ไปฟ้องคดีแพ่งเพื่อเรียกเงินคืนจากกลุ่มผู้รับเหมาเป็นเงินกว่า 20,000 ล้านบาท นั่นหมายรวมถึงที่ดิน ที่ปัจจุบันถูกเพิกถอนโฉนดแล้ว จำนวน 4 แปลง รวม 1,300 กว่าไร่ เป็นเงินรวม 1,300 ล้านบาท กลับคืนให้รัฐ แต่หากกรมควบคุมมลพิษสละสิทธิ์ฎีกา หรือแพ้คดีจะส่งผลต่อการฟ้องร้องคดีคลองด่านที่ คพ.เป็นโจทย์ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดเรื่องข้อพิพาทอนุญาโตตุลาการ และจะส่งผลให้คพ.ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้รับเหมาโครงการกว่า10,000 ล้านบาท
“หากคพ.มีความจริงจังในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ เชื่อว่าไม่มีทางที่จะแพ้คดีนี้อย่างแน่นอน อีกทั้งคดีนี้มีการชี้มูลความผิดโดยป.ป.ช. รวมทั้งผู้เกี่ยวข้องที่ศาลตัดสินโทษไปแล้วหลายราย อาทินายวัฒนา อัศวเหม หากคดีทุจริตที่มีข้อมูลหลักฐานชัดเจนอย่างคดีคลองด่าน คพ.แพ้คดีจะทำให้ระบบบ้านเมืองของเราเสียหายทั้งระบบและแทบไม่ต้องรณรงค์เรื่องการทุจริตคอรัปชั่นอีกต่อไปแล้ว ถ้าคดีใหญ่ขนาดนี้ยังเอาคนผิดมาลงโทษไม่ได้”
ด้านนางดาวัลย์ จันทรหัสดี ตัวแทนชาวบ้านคลองด่านกล่าวว่า ในฐานะที่ร่วมติดตามคดีนี้มาตั้งแต่ต้น และไปร่วมฟังการสืบพยายานในชั้นศาลเกือบตลอด สงสัยว่าการที่คดีนี้ส่อแววจะแพ้เนื่องจากคพ.และทนายไม่จริงใจที่จะสู้หรือไม่ เนื่องจากการสู้คดีในศาลชั้นต้นทุกข้อมูลหลักฐานแทบจะปิดช่องโหว่ไม่ให้อีกฝ่ายอุทธรณ์ได้เลย แต่เมื่อเกิดการอุทธรณ์แล้วเราแพ้นั้นเป็นเพราะอะไรสำนวนฟ้องไม่หนักแน่นหรือไม่ ดังนั้นในชั้นฎีกา คือสิ่งที่คพ.จะต้องพยายามและพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่ามีความจริงใจในการต่อสู้คดีหรือไม่ ทั้งนี้ทางกลุ่มตนพร้อมที่สนับสนุนในการต่อสู้คดี เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศและเงินภาษีของประชาชน ขณะที่สาธารณชนเองก็ควรร่วมติดตามกรณีนี้อย่างใกล้ชิด อย่าปล่อยให้นักการเมืองและบริษัทเอกชนใช้อิทธิพลกดดันจนสามารถล้มคดีนี้ได้
“หากเป็นไปได้เราเห็นสำนวนคำฟ้องที่ยื่นไปศาลฎีกา เพื่อที่เราจะเอามาช่วยสังเคราะห์และดูว่าข้อมูลใดยังไม่แน่นพอ เนื่องจากในชั้นฎีกานี้ไม่มีการสืบพยายามเหมือนศาลชั้นต้นแล้ว หากสำนวนข้อมูลหลักฐานไม่หนักแน่นก็มีโอกาสที่จะแพ้ หากเราแพ้ก็คือแพ้ทุกมิติ และสิ่งเหล่านี้ก็ยังจะตัดสินด้วยว่ากระบวนการยุติธรรมในเมืองไทยยังไว้ใจได้อยู่หรือไม่ แต่มองอย่างไรแล้วก็ตามคดีนี้หากสู้อย่างเต็มที่ไม่มีทางแพ้แน่นอนเนื่องจากเราเป็นต่ออยู่”