ชาวบ้านมาบตาพุดผวาอีกรอบ โรงงานพีวีซีผงเสี่ยงระเบิด
3 ชุมชนรอบโรงงานร้องทุกข์กรณี “บริษัทเอเพ็คปิโตเคมิคอล” เสี่ยงระเบิด หลังพนักงานผละงานเพราะค้างค่าจ้าง ขาดคนดูแลเครื่องจักร หวั่นไฟฟ้าหรือสารเคมีระเบิด ผู้ว่าฯระยองสั่งติดตามปัญหา
วันที่ 24 มิ.ย. นายศักดิ์ชาย เชิดสุขอนันต์ ประธานคณะกรรมการชุมชนบ้านพลา นายจำลอง ผ่องสุวรณ ประธานคณะกรรมการชุมชนมาบยา และนายสุชาติ กอเซ็ม ประธานคณะกรรมการชุมชนอิสลาม เทศบาลเมืองมาบตาพุด ได้เข้ายื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อนายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย ผู้ว่าราชการจังหวัด ระยอง ณ ศูนย์ราชการจังหวัดระยอง หลังบริษัทเอเพ็ค ปิโตรเคมิคอล จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 14 ถนนมาบข่า-ปลวกแดง ผู้ผลิตพีวีซีผงโดยใช้สารไวนิลคลอไรด์โมโนเมอร์( VCM) เป็นวัตถุดิบในการผลิต แต่ปัจจุบันขาดสภาพคล่องส่งผลให้พนักงานกว่า 70 คนไม่ได้รับเงินเดือนเป็นเงินรวมทั้งสิ้นกว่า 2 ล้านบาท
ขณะที่กระแสไฟฟ้าภายในโรงงานและน้ำประปา ถูกตัดเนื่องจากค้างจ่ายจนไม่มีแสงสว่างในเวลากลางคืนและต้องใช้เครื่องปั่น ไฟฉุกเฉินเพื่อควบคุมอาคารเก็บสารเคมีซึ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาจำนวน 700 ตัน ด้วยอุณหภูมิลบ 20 องศา ทำให้ชาวบ้านทั้ง 3 ชุมชนกว่า 3,000 คน ที่อาศัยอยู่ฝั่งตรงข้ามและโดยรอบบริเวณโรงงาน ต่างพากันหวาดผวาว่าหากพนักงานทิ้งหน้าที่ในการดูแลควบคุมเครื่องจักร ก็อาจทำให้สารเคมีซึ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาระเบิดขึ้นได้
โดยนายธวัชชัย เทิดเผ่าไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง กล่าวว่า ได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาในทันที โดยให้อุตสาหกรรมจังหวัดระยองซึ่งเป็นหน่วยงานดูแลโรงงานโดยตรงเข้ามาดูแล พร้อมผู้แทนจากสำนักงานอัยการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดระยอง เจ้าหน้าที่ตำรวจ เทศบาลเมืองมาบตาพุด และประธานชุมชนร่วมกันแก้ไขปัญหา
ซึ่งในเบื้องต้นกำหนดให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง ทำหนังสือถึงเจ้าของโรงงานให้ดำเนินการตัดหญ้าที่ขึ้นปกคลุมออกให้หมด เพื่อป้องกันไฟไหม้และอาจทำให้ถังเก็บสารเคมีเกิดการระเบิดขึ้นได้ เพราะสภาพโรงงานปัจจุบันหัวจ่ายดับเพลิงและอุปกรณ์วาว์ลเปิด-ปิดใช้การไม่ ได้ พร้อมให้คณะทำงานจัดตั้งชุดเฝ้าระวังระบบควบคุมสารเคมี และเร่งดำเนินการหาข้อมูลเพื่อดำเนินคดีกับผู้บริหารโรงงานอย่างเฉียบขาด
ด้านนายศักดิ์ชาย กล่าวว่าพนักงานโรงงานไม่ได้รับเงินเดือนและค่าสวัสดิการมานานถึง 2 เดือนแล้ว แต่ก็ยังคงผลัดเวรดูแลเครื่องจักร โดยหวั่นว่าหากพนักงานไม่เข้าทำงานวันใดเครื่องปั่นไฟที่ต้องทำงานตลอด24 ชม.และต้องใช้น้ำมันดีเซลวันละ 7,000 บาทก็อาจดับ จนเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นได้ เพราะสารพิษนับ 100 ตันอาจรั่วไหลจนเกิดระเบิด
“ใครจะรับผิดชอบ เวลานี้ชุมชน 3 ชุมชนที่มีผู้อยู่อาศัยกว่า 3,000 คนต่างหวาดผวา จึงฝากให้ผู้บริหารโรงงานรีบดำเนินการแก้ไขปัญหา ไม่ใช่ปล่อยทิ้งเช่นนี้และขอให้เห็นแก่ชีวิตมนุษย์ที่อยู่รอบโรงงานด้วย” นายศักดิ์ชาย กล่าว
นายสุขาติ กล่าวว่าสารเคมีจำนวน 7 ตัน ที่อยู่ในอาคารควบคุมความเย็นหากเครื่องปั่นไฟเกิดปัญหาไม่สามารถควบคุมความ เย็นได้ก็อาจเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบกับชีวิตคนในชุมชน และถึงวันนี้ยังไม่มีผู้รับผิดชอบออกมาดูแลไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานราชการหรือ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ที่อนุญาตให้สร้างโรงงานได้ จึงขอร้องเรียนไปยังนายอาทิตย์ วุฒิคะโร อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมด้วยเช่นกัน
ด้านนายจักรภพ ถาภักดี รอง ผจก.ส่วนวิศวกรรมการผลิตโรงงาน เอเพ็คปิโตรเคมีคอล จำกัด กล่าวว่าตัวอาคารได้เก็บสารแคทเตอร์ลิคจำนวน 700 ถังๆละ 10 กก. โดยเป็นสารตัวเร่งปฏิกิริยาแต่เป็นสารที่สลายง่ายในอุณหภูมิที่สูงจึงต้องเก็บไว้ในอุณหภูมิลบ 20 องศาและต้องควบคุมตัวอาคารให้มีความเย็นตลอดเวลา ซึ่งหากเกิดไฟฟ้าดับอุณหภูมิที่สูงขึ้นเรื่อยๆเมื่อถึงจุดๆหนึ่งสารดังกล่าว จะสลายตัวด้วยตัวเองพร้อมกับจะทำให้เกิดความร้อนและเกิดระเบิดขึ้นเองได้
แต่สารเคมีอันตรายอีกส่วนหนึ่งซึ่งก็คือสารไวนิลคลอไรด์โมโนเมอร์(วี ซีเอ็ม) ที่บรรจุในถังรูปทรงกลม(ลูกโลก) เป็นสารก่อมะเร็งตับ และสารตัวนี้เป็นวัตถุดิบที่ใช้ในขบวนการผลิตผงพีวีซีและต้องใช้น้ำหล่อเย็น ตลอดเวลา รวมทั้งต้องมีคนดูแลอย่างใกล้ชิดเช่นกัน.