7 องค์กรภาคเอกชน หนุนจัดรูปแบบกติกาการเลือกตั้ง
ที่ประชุม 7 องค์กรภาคเอกชน ชี้จุดยืนเป็นเวทีกลางในการระดมความเห็นเสนอทางออก ย้ำแนวทางแก้ปัญหาต้องอยู่ในระบอบประชาธิปไตย ด้านดร.ไชยวัฒน์ แนะคนไทยพัฒนาทักษะการฟังในสถานการณ์ความขัดแย้ง
วันที่ 13 ธันวาคม 2556 ที่ประชุม 7 องค์กรภาคเอกชน ประกอบด้วย หอการค้าไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, สภาธุรกิจตลาดทุนไทย, สมาคมบริษัทจดทะเบียน, สมาคมธนาคารไทย เปิดเวทีกลางครั้งแรก เพื่อระดมความคิดเห็นและร่วมกันเสนอทางออกให้กับประเทศไทย ณ ห้องโลตัส ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์
นายวิชัย อัศรัสกร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ในฐานะโฆษก 7 องค์กรฯ กล่าวว่า ปัจจุบัน 7 องค์กรได้พูดคุยกับหลายๆ กลุ่ม ว่า การเสนอทางออกนั้นต้องอยู่ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งทั้ง 7 องค์กรทำหน้าที่ในการจัดเวทีกลางให้แต่ละฝ่ายได้เข้ามาพูดคุยหารือกัน มิใช่ทำหน้าที่เป็นคนกลาง และการจะลดปัญหาความขัดแย้งได้นั้นจะต้องมีการสร้างเวทีให้ทุกฝ่ายเข้ามาพูดคุยกันได้ก่อน
ทั้งนี้การที่องค์กรไม่ได้เชิญทั้งสองฝ่ายให้เข้ามาร่วมเวทีพร้อมกันเพราะเห็นว่า หากมีการเผชิญหน้ากันก็จะมีข้อโต้แย้งต่างๆ มากมายและจะทำให้การจัดเวทีกลางในลักษณะนี้ไม่ได้ข้อสรุป จะไม่เกิดประโยชน์ แต่หลังจากนี้ยังหวังว่าจะมีกลุ่มอื่นๆที่จะเข้ามาเสนอและพูดถึงแนวทางหรือเสนอทางเลือกเพิ่มมากขึ้น อย่างเช่นกลุ่มของนปช. โดยทางองค์กรจะนัดประชุมอีก 2-3 ครั้งเพื่อหาทางออก โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนก่อนสิ้นปีนี้
รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมได้มองวาระการปฏิรูปประเทศไว้ 4 ข้อด้วยกัน คือ 1.การขจัดการคอร์รัปชั่น 2.การปฏิรูปเศรษฐกิจ 3.การขจัดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ที่ปัจจุบันทางองค์กรเอกชนได้ทำ CSR อย่างต่อเนื่อง และ 4.จัดรูปแบบกติกาการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตามที่ประชุมทั้ง 7 องค์กรยังยืนยันว่าการปฏิรูปนั้นจะต้องอยู่ภายใต้ระบอบของประชาธิปไตย โดยประเด็นสำคัญที่ต้องนำมาพูดคุยกันจะต้องเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่จะขับเคลื่อนประเทศให้เดินไปข้างหน้าได้
ส่วนเวทีที่จะจัดขึ้นโดยกองทัพไทยและฝ่ายรัฐบาลในช่วงวันที่ 14 และ15 ธันวาคมนี้ นั้น นายวิชัย กล่าวว่า ยินดีที่จะส่งตัวแทนเข้าไปร่วมรับฟัง สำหรับเรื่องที่นักวิชาการบางท่านอาจจะมองว่า เวทีกลางไม่มีจริง หรือมอง 7 องค์กรหวังผลหรือนัยยะแอบแฝงจากการเสนอตัวจัดเวทีกลาง ยืนยันได้ว่า เราไม่ได้มุ่งหวังอะไรจากการเมือง เพียงอยากให้มีเวทีที่จะทำให้เกิดการพูดคุยและต้องการเห็นบ้านเมืองสงบ ฉะนั้นระยะเวลาจะพิสูจน์เอง ส่วนทางเลือกที่มีการเสนอไปนั้นเราก็จะเสนอผ่านสื่อมวลชนแล้วฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้องก็ตัดสินใจว่าจะเห็นด้วยในแนวทางที่มีการเสนอไปหรือไม่
ด้านศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ นักวิชาการด้านสันติวิธี กล่าวถึงความพยายามขององค์กรภาคธุรกิจที่ต้องการจะสร้างเวทีกลางให้เกิดขึ้นนั้น จำเป็นมากในขณะนี้ ทั้งนี้เห็นว่า การจะจัดเวทีกลางนั้นจะต้องไม่จัดขึ้นโดยคู่กรณี และทุกฝ่ายล้วนประสงค์ที่จะเห็นคนในประเทศ กินดี อยู่ดีและมีสุข ดังนั้นความขัดแย้งจะผ่อนคลายลงไปได้ทุกฝ่ายต้องฟังซึ่งกันและกัน
“เราอาจจะต้องพัฒนาความสามารถของการฟังให้เกิดขึ้นว่า เราสามารถที่จะฟังได้แค่ไหนในสถานการณ์ท่ามกลางความแตกต่างทางความคิด ทุกฝ่ายจะต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา จึงจำเป็นที่ทุกฝ่ายจะต้องมาคุยกติการ่วมกันใหม่ หากไม่อยากให้ประเทศไปสู่ภาวะที่ไม่มีความหวัง”