‘สวิง ตันอุด’ ส่งสาร กปปส. ปฏิรูปประเทศ เน้นจัดงบท้องถิ่น 70%
‘สวิง ตันอุด’ ส่งสารถึง ‘สุเทพ’ เลขาฯ กปปส. เปลี่ยนเเปลงประเทศ ต้องเน้นกระจายอำนาจสู่ชุมชน จัดงบรัฐ 30%-ท้องถิ่น 70% หวังเพิ่มอำนาจจัดการตนเอง ระบุสภาปชช.ต้องมาจากทุกภาคส่วน เหตุบ้านเมืองเป็นของทุกฝ่าย จี้เร่งเผยรายละเอียดปฏิรูปมากกว่านี้
ภายหลังนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ออกมาระบุถึงแนวทางการปฏิรูปประเทศไทยผ่านการจัดตั้งสภาประชาชน พร้อมสนับสนุนให้เกิดการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นด้วยการเลือกตั้งผู้ว่าราชจังหวัด ยกเลิกหน่วยงานรัฐส่วนภูมิภาค ปรับโครงสร้างองค์กรตำรวจ รวมถึงเขียนรัฐธรรมนูญห้ามใช้นโยบายประชานิยมในการเลือกตั้งนั้น
นายสวิง ตันอุด เครือข่ายประชาสังคมเพื่อการจัดการตนเองจังหวัดเชียงใหม่ เสนอความเห็นกับสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ว่าถึงเวลาแล้วที่ไทยจะต้องเกิดการปฏิรูปประเทศ เนื่องจากวิกฤตในวันนี้ได้เคลื่อนตัวเกินกว่าการรวมศูนย์อำนาจแล้ว ในที่นี้หมายถึง อำนาจการตัดสินใจ งบประมาณ และทรัพยากรไว้ที่ศูนย์กลางปกครอง ซึ่งเมื่อเดิมพันสูงเลยต้องเทหน้าตักสูงเกินไป จนก่อให้เกิดความขัดแย้งหลายครั้งดังเช่นที่ผ่านมา ดังนั้นจึงต้อง ‘กระจายอำนาจ/คืนอำนาจ’ สู่ชุมชนท้องถิ่นที่เป็นเจ้าของเดิม อย่างไรก็ตาม พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จังหวัดปกครองตนเอง ซึ่งร่างโดยคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ที่ใกล้จะคลอดออกมาแล้ว จะเชื่อว่าสามารถทำให้การเดิมพันลดน้อยลงได้
“ปัจจุบันไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบกินรวบ ผู้ชนะได้ทุกอย่าง ซึ่งความจริงแล้วมิได้หมายถึงเป็นเสียงข้างมากเสมอ เพราะเมื่อเทียบสัดส่วนผู้ชนะกับประชากรทั้งประเทศแล้วไม่สามารถเทียบกันได้” เครือข่ายประชาสังคมฯ กล่าว และว่าสาเหตุเกิดจากการออกแบบระบอบประชาธิปไตยที่ให้สิทธิเสียงข้างมากเท่านั้น ส่งผลให้เกิดการกินรวบ ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความขัดแย้งและผลประโยชน์คอร์รัปชั่นมากมาย
นายสวิง จึงมองว่า นอกจากการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ยกเลิกหน่วยงานรัฐส่วนภูมิภาค และปรับโครงสร้างองค์กรตำรวจตามที่กลุ่มกปปส. เสนอแล้ว ควรจะเน้นจัดสรรเรื่องงบประมาณด้วย โดยแบ่งสัดส่วนรัฐส่วนกลาง 30% ท้องถิ่น 70% ซึ่งงบประมาณ 70% ที่กระจายสู่ท้องถิ่นนั้นครอบคลุมเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากร 30% และอำนาจอีก 40%
ทั้งนี้ รัฐส่วนกลางคงเหลือการบริหารจัดการ 4 เรื่องหลักเท่านั้น คือ ความมั่นคงประเทศ ต่างประเทศ ระบบเงินตรา และระบบศาล ส่วนการจัดการทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจ การศึกษา หรือสาธารณสุข ควรให้ท้องถิ่นมีอำนาจจัดการตนเอง เพราะไม่มีใครรู้จักเรื่องท้องถิ่นดีกว่าคนในชุมชน ซึ่งหลักการเหล่านี้ได้เคยเสนอแล้วสมัยคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ (คปร.) ชุดนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี และนพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส เป็นประธาน
“หากไทยยึดหลักการนี้ 'เดิมพัน' ทั้งหมดจะน้อยลง การลงทุนทางธุรกิจการเมืองจะไม่มี เพราะทุกวันนี้เป็นการเมืองเชิงธุรกิจ เนื่องจากได้มีการคำนวณเรียบร้อยแล้วว่าจะลงทุนเท่าไหร่ เพื่อไปครองทรัพยากรตรงนั้นปีละ 3 แสนล้านบาท ซึ่งเยอะมาก” เครือข่ายประชาสังคมฯ กล่าว พร้อมยกตัวอย่างการจัดสรรงบประมาณสัดส่วน 30:70 ในเยอรมันที่ยังเจาะลึกอีกว่า 30% ของรัฐส่วนกลางนั้นยังออกแบบห้ามให้ใครครองเสียงข้างมาก เพราะเคยเจ็บปวดจากเสียงข้างมากสมัยฮิตเลอร์ปกครองประเทศแล้ว ซึ่งไทยควรจะก้าวไปถึงจุดนั้นให้ได้ด้วยการพลิกประเทศใหม่ โดยให้ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ ไม่ใช่เพียงแค่มีส่วนร่วมในประเทศ เพราะอำนาจอธิปไตยมิใช่เพียงแต่การเลือกตั้ง อำนาจอธิปไตยหมายถึงการเป็นเจ้าของ ส่วนกระบวนการดำเนินการจะต้องว่ากันต่อไป
นายสวิง ยังกล่าวถึงการจัดตั้งสภาประชาชนในอนาคต ควรนำคนจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้ที่เจ็บปวดจากการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เพราะปัญหาทั้งหมดที่ผ่านมาล้วนต้องไปปะทะกับอำนาจศูนย์กลางอยู่แล้วก็จะเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้ดี ไม่เฉพาะสมัชชาคนจนเท่านั้น แต่อาจจะเป็นคนที่มีรสนิยมเสื้อเหลือง เสื้อแดงด้วย เพราะบ้านเมืองเป็นของทุกฝ่าย แต่ต้องระวังอย่าให้การออกแบบวนไปที่เก่า ถ้าเป็นแบบนี้ปัญหาจะไม่จบ
“แนวทางที่คุณสุเทพเสนอดีแล้ว แต่ควรมีรายละเอียดมากกกว่านี้เกี่ยวกับทิศทางการปฏิรูปประเทศ ซึ่งเข้าใจว่าเรื่องของกระบวนการช่วงนี้สำคัญ แต่ก็ต้องพูดถึงเนื้อหาการปฏิรูปไปพร้อม ๆ กันด้วย เพราะเชื่อว่าคนจะสนใจรายละเอียดการปฏิรูปมากกว่าหากเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วจะเกิดอะไรขึ้น” นายสวิง ทิ้งท้าย .
ที่มาภาพ:เว็บไซต์ผู้จัดการ