สุรพล นิติไกรพจน์:กบฎ ยุบสภาและอำนาจในอุ้งมือทักษิณ
"...สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้มีผู้คนนับล้านออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล และรัฐบาลก็กำลังรวบรวมคนเข้ามาชุมนุมเผชิญหน้า ความตึงเครียดรุนแรงมีโอกาสพัฒนาไปเป็นสถานการณ์แบบที่เกิดที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้ง่ายมาก และถ้ามันเกิดขึ้นจนทำให้เกิดหายนะครั้งรุนแรงของประวัติศาสตร์การเมืองไทย.."
หมายเหตุ: ศ.ดร. สุรพล นิติไกรพจน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ และอดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ให้ความเห็นต่อคำถามเกี่ยวกับความขัดแย้ง และทางออกที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองขณะนี้
00000
@สิ่งที่คุณสุเทพและ กปปส.กำลังรณรงค์โค่นล้มระบอบทักษิณที่มีคุณยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดอยู่นี้ เข้าข่ายเป็นกบฎตามมาตรา 113, 114 ประมวลกฎหมายอาญา อย่างที่ ศอ.รส. ออกมาประกาศขู่ว่าจะจับเช้า จับเย็น และจะจับคนร่วมชุมนุมฐานสนับสนุนด้วยนั้นเป็นความผิดฐานกบฎจริงไหม?
ศ.ดร. สุรพล : สิ่งที่คุณสุเทพและกปปส. ทำอยู่เป็นการชุมนุมโดยสงบ สันติและปราศจากอาวุธ และประกาศยืนยันอยู่เสมอว่าเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในการต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ตามที่มาตรา 69 ของรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ ก็ต้องถามว่าทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นการกระทำโดยสันติวิธีโดยสงบและไม่มีอาวุธหรือไม่ ถ้าตอบว่าใช่ก็เป็นข้อที่สามารถกล่าวอ้างได้ว่าเป็นการต่อต้านโดยสันติวิธี ปัญหามีแต่เพียงว่าสิ่งที่เขาต่อต้านกันนั้น เป็น “การกระทำให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งไม่เป็นไปตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญ” หรือไม่เท่านั้น
ถ้ามันเข้าเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญมันก็เป็นเหตุโดยชอบธรรมที่จะสามารถทำได้ ซึ่งถ้าไปดูความผิดฐานกบฎตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 นั้น มันขึ้นต้นด้วยการ “ใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย” เสมอ ถ้าไม่มีการใช้กำลังหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายก็ไม่มีทางจะเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานกบฎไปได้เลย
ส่วนมาตรา 114 ฐานเตรียมการเป็นกบฎนั้น ก็คือการสะสมกำลังพลหรืออาวุธหรือเตรียมการอื่นใด หรือจะเป็นกบฎ ต้องมีองค์ประกอบฐานกบฎตามมาตรา 113 ครบมาก่อนถึงจะถือเป็นความผิดฐานเตรียมการเป็นกบฎได้ คำถามมีอยู่ว่าที่คุณสุเทพและกปปส. ประกาศบนเวทีนั้น มันมีการ “ใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย” เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่ ผมไม่เคยได้ยินการขู่เข็ญหรือการใช้กำลังประทุษร้ายจากแกนนำบนเวทีปราศรัยเลย ตรงข้ามกับได้ยินคำประกาศห้ามพกพาอาวุธ ห้ามทำร้ายเจ้าหน้าที่ ห้ามทำลายทรัพย์สินของทางราชการเสียอีก
และจนถึงปัจจุบันผมก็ยังไม่เคยได้ยินว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐ รัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี คนหนึ่งคนใดถูกประทุษร้าย ทำร้ายร่างกายโดยใช้กำลังหรือมีการขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ หรืออำนาจบริหารแม้แต่น้อย มีแต่ถูกด่า ถูกดูหมิ่น ดูแคลนว่าไร้สติปัญญา และมีเจตนาทุจริตทำผิดกฎหมายขัดรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นก็ยืนยันได้ในฐานะที่เป็นผู้สอนกฎหมายว่าจนถึงปัจจุบัน การดำเนินการของคุณสุเทพและ กปปส. นั้นไม่มีการกระทำใดเข้าองค์ประกอบความผิดฐานกบฎตามที่พูดกันเลย
แต่การไม่มีความผิดฐานกบฎกับการไม่ทำอะไรผิดทางอาญาเลยนี้ไม่เหมือนกัน ผมเห็นว่าการบุกรุกเข้าไปครอบครองสถานที่ราชการอย่างกระทรวงการคลัง นั้นเข้าข่ายความผิดฐานบุกรุกสถานที่ราชการแน่ ถ้าตัดโซ่พังประตูเข้าไปก็เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์แน่นอน
แต่ความผิดเหล่านี้มันเป็นความผิดอุปกรณ์ที่ไม่ใช่ความผิดหลัก อัตราโทษก็ไม่สูง และถ้าในการพิจารณาของศาลได้นำสืบเรื่องเจตนาเพื่อจะปกป้องรัฐธรรมนูญตามที่พูดถึงกันอยู่ ศาลก็มีดุลพินิจที่จะไม่ลงโทษจำคุกหรือจะลดโทษลงอย่างไรก็ได้ หมายความว่าเรื่องที่กระทำนี้ไม่ใช่ถึงขนาดจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายบ้านเมือง แต่ก็เป็นความผิดที่ไม่ร้ายแรงและถ้าพิสูจน์เจตนาได้ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลเป็นกรณี ๆ ไป และอันนี้ก็ดูเหมือนคุณสุเทพก็ประกาศไปแล้วด้วยว่าเสร็จศึกขับไล่รัฐบาลคราวนี้จะไปพบพนักงานสอบสวนในข้อหาเหล่านี้ตามหมายจับที่ออกมา ซึ่งผมก็ยังสงสัยอยู่ว่าหมายจับในคดีประเภทนี้ออกมาโดยชอบหรือ แต่คงไม่ใช่เวลาถกกันในที่นี้
เอาเป็นว่าผมขอยืนยันว่าทั้งหมดที่ทำมาโดยสันติโดยไม่ได้ประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายจนถึงปัจจุบันนั้น ไม่เข้าข่ายความผิดฐานกบฎในราชอาณาจักรอย่างที่ผู้อำนวยการ ศอ.รส. ที่จบวิศวะชอบออกมาขู่อย่างแน่นอน และขอปวารนาตัวไว้ ณ ที่นี้ว่า เมื่อไหร่คุณสุเทพไปมอบตัวข้อหาทางกบฎตามหมายจับ ผมยินดีไปเป็นพยานรับรองเรื่องนี้และยืนยันความเห็นทางกฎหมายที่ว่ามานี้ให้ตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน ชั้นอัยการ และในศาลอาญาเลยทีเดียว
พอบอกว่าการกระทำหลักของคุณสุเทพซึ่งเป็นแกนนำ กปปส. ขาดองค์ประกอบความผิดฐานเป็นกบฎ เว้นแต่จะตีความไปถึงขนาดว่าการเป่านกหวีดเป็นการทำร้ายจิตใจของบรรดารัฐมนตรี แล้วละก็ ก็หมดประเด็นที่จะมาถามต่อว่าคนไปร่วมเป่านกหวีดหรือร่วมเดินทางไปชุมนุมในที่ต่าง ๆ จะเป็นความผิดฐานสนับสนุนการกบฎหรือไม่ เมื่อผู้กระทำไม่ได้กระทำครบองค์ประกอบความผิด คนที่ไปช่วยเชียร์และสนับสนุนก็ย่อมไม่มีความผิดตามไปด้วยนั่นเอง นี่อยู่ภายใต้เงื่อนไขของการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธอื่นใดนอกจากนกหวีดเท่านั้นนะครับ
@ ถ้ามันไม่เป็นความผิดฐานกบฏแล้วทำไมถึงได้มีหมายจับของศาลอาญาในฐานกบฎในราชอาณาจักรให้เอามาโปรยจากเฮลิคอปเตอร์ได้?
ศ.ดร. สุรพล :ต้องเข้าใจว่าหมายจับที่ว่านี้เป็นหมายจับที่พนักงานสอบสวนขอให้ออกเพื่อเอาตัวผู้ถูกกล่าวหามาสอบสวนแล้วแจ้งข้อหา ซึ่งเป็นการกระทำฝ่ายเดียวของตำรวจทั้งสิ้น ตำรวจเป็นผู้ตั้งข้อหาเพื่อจะดำเนินการสอบสวน แต่การสอบสวนคุณสุเทพทำไม่ได้ ตำรวจก็ต้องออกหมายเรียกให้มาพบ ไม่มาและเหลือบ่ากว่าแรงแล้วก็ต้องไปขอให้ศาลออกหมายจับให้ ในกรณีนี้ไม่ปรากฏว่าตำรวจได้ออกหมายเรียกก่อน ผมก็ยังสงสัยอยู่ว่าไปขอศาลออกหมายจับได้อย่างไร
แต่เอาเถอะเมื่อมีหมายจับมาแล้วก็ต้องเข้าใจว่าเป็นการไต่สวนเบื้องต้นของศาลว่าคดีพอมีมูลออกหมายได้โดยเห็นว่ามีพฤติการณ์นำผู้คนบุกกระทรวงการคลังเพื่อกดดันรัฐบาลเท่านั้น เพื่อให้ได้ตัวมาสอบสวนก็ออกหมายให้ ยังไมได้แปลว่าศาลเห็นว่ามีความผิดตามนั้นจริง ๆ เป็นแต่เพียงตำรวจไปขอศาลว่ามีข้อเท็จจริงเบื้องต้นแบบนี้ น่าจะมีความผิดฐานนี้ และขอให้ศาลออกหมายให้เพื่อจะให้ได้ตัวผู้ถูกกล่าวหามาสอบสวน เพื่อทำการสอบสวนเท่านั้น นี่ถ้าคุณสุเทพไปพบตำรวจเมื่อไหร่หมายจับของศาลก็สิ้นผลไปในทันที
เพราะเป็นแต่เพียงให้เจ้าตัวมาพบพนักงานสอบสวนให้แจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบและทำการสอบสวนตามข้อหานี้เท่านั้น เรื่องนี้ยังมีขั้นตอนอีกยาวและถ้าไปดูข้อแรกที่ผมให้ความเห็นไว้ว่าข้อกล่าวหาฐานกบฎยังขาดองค์ประกอบความผิดสำคัญของการเป็นกบฎ ก็จะเห็นได้ชัดว่าเรื่องหมายจับคดีกบฎนี้ เป็นเพียงหมายให้มาพบตำรวจเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าศาลได้พิจารณาไต่สวนแล้วเห็นว่าครบองค์ประกอบเป็นความผิดฐานกบฎแต่อย่างใดทั้งสิ้น
เพราะกระบวนการในชั้นนี้เป็นเรื่องตำรวจตั้งข้อหาเอง อธิบายเองว่ามีพฤติการณ์อะไรที่น่าจะเข้าข่ายและไปขออำนาจศาลเฉพาะแต่เพียงการออกหมายเพื่อให้ได้ตัวคุณสุเทพมารับแจ้งข้อกล่าวหาเท่านั้นยังไม่มีการพิจารณาคดีใด ๆ จากทางศาลเลย
@ ที่นี้เรื่องประเด็นหลักที่คุณสุเทพอ้างรัฐธรรมนูญว่าใช้สิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีตามมาตรา 69 ของรัฐธรรมนูญ จะฟังขึ้นไหม? โดยเฉพาะเอามาแก้ตัวในความผิดอุปกรณ์ที่ว่ามาตอนต้น
ศ.ดร. สุรพล : ก็ขึ้นอยู่กับว่าในชั้นพิจารณาจะสามารถแสดงให้ศาลเห็นว่าคุณสุเทพได้ดำเนินการไปตามขอบเขตของสิทธิที่รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดได้รับรองไว้ได้หรือไม่ ข้อที่เป็นการต่อต้านโดยสันติวิธีนั้นไม่มีใครปฏิเสธได้กระมังว่าแกนนำก็ย้ำจุดยืนนั้นและขอให้ไม่มีการทำร้ายเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือทำลายทรัพย์สินในหน่วยงานต่าง ๆ ที่ไปบุกแสดงพลัง และห้ามมิให้มีการพกพาอาวุธมา แต่ว่าต่อต้านอะไรบ้างละที่ถือว่าเป็นการต่อต้าน “การกระทำใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศไทยโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ” ตามมาตรา 69 บ้างซึ่งผมฟังดู ดูเหมือนจะมีสามประเด็นหลักคือ
ประเด็นแรก รัฐบาลและสมาชิกพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลกว่าสามร้อยคนเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมเหมาเข่งสำหรับความผิดทุกอย่างที่เกี่ยวกับการเมือง และเกี่ยวกับการตรวจสอบที่ทำโดยองค์กรหลังรัฐประหารที่เชื่อกันว่าเป็นการนิรโทษกรรมการทุจริตคอร์รัปชันของคุณทักษิณและนักการเมืองคนอื่น ๆ ทั้งหมด และให้ได้รับทรัพย์สินที่ถูกยึดคืนด้วย ซึ่งขัดกับหลักนิติธรม หลักนิติรัฐ และขัดกับความรู้สึกของผู้คนทั้งประเทศ และจนปัจจุบันร่างกฎหมายฉบับนี้วุฒิสภาไม่เห็นชอบในหลักการ แต่สภาผู้แทนราษฎรเสียงข้างมากของรัฐบาล สามารถหยิบขึ้นพิจารณาใหม่ได้เมื่อผ่านไปแล้ว 180 วัน อย่างที่มีสภาผู้แทนราษฎรพรรครัฐบาลคนหนึ่งออกมาพูดทางทีวีว่า เดี๋ยวครบกำหนดเวลาแล้วก็จะหยิบมาลงมติยืนยันให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้เลยทีเดียวนั่นแหละ
ประเด็นที่สอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา 312 คนประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญที่พิจารณาวินิจฉัยว่าร่างรัฐธรรมนูญที่รัฐสภามีมติเห็นชอบ ขัดกับบทบัญญัติมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ ทั้งในแง่กระบวนการพิจารณาและในส่วนของเนื้อหา จึงไม่สามารถใช้บังคับได้ ทั้งประธานสภาทั้งสองได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เฉพาะคนที่วินิจฉัยว่าการกระทำดังกล่าวไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ว่าได้กระทำความผิดอาญา และอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษซึ่งเป็นข้าราชการใต้บังคับบัญชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ก็ประกาศว่าจะนำเสนอคณะกรรมการคดีพิเศษพิจารณารับเป็นคดีพิเศษและจะขอเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนเอง ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าการกล่าวหาผู้พิพากษาหรือตุลาการในทางอาญาเช่นนี้ ไม่ว่าจะมีมูลหรือจงใจกลั่นแกล้งกล่าวหากลบเกลื่อนความผิดหรือไม่ก็ตาม ต้องดำเนินการโดยผ่านคณะกรรมการ ปปช. เท่านั้น
นักศึกษานิติศาสตร์ชั้นปีที่ 2 ที่เรียนกฎหมายอาญาก็มีความเข้าใจเรื่องนี้แล้ว แต่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมซี่งเป็นนักกฎหมายอาญาทำงานเป็นอัยการมาค่อนชีวิตกลับไม่เข้าใจเรื่องนี้โดยจงใจ ไม่ห้ามปรามหรือหยุดการกระทำที่จงใจจะคุกคามดำเนินคดีกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพียงเพราะเหตุที่ได้ตัดสินคดีไม่เป็นคุณแก่ตนเท่านั้น ซึ่งถ้าเป็นภาษาชาวบ้านคงต้องเรียกว่าขี้แพ้ชวนตี แต่พอเป็นการกระทำของประธานสภาทั้งสองร่วมกับฝ่ายรัฐบาลคงจะเห็นเป็นอื่นนอกจากการเป็นกบฎต่อรัฐธรรมนูญไม่ได้กระมัง
ประเด็นที่สาม เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมได้ตราขึ้นโดยมิชอบแล้ว นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้เสนอให้พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยกลับเพิกเฉยไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยซึ่งรัฐธรรมนูญมาตรา 216 วรรคห้า กำหนดรับรองว่าให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ โดยจะต้องขอร่างรัฐธรรมนูญที่มิชอบดังกล่าวกลับคืนมา ประหนึ่งว่านายกรัฐมนตรีประสงค์จะให้ระยะเวลาในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญก่อนลงพระปรมาภิไธยของประมุขของรัฐซึ่งมีอยู่ 90 วันเดินไปจนครบ และให้พระมหากษัตริย์ต้องตัดสินพระทัยว่าจะลงนามตามมติของรัฐสภาหรือจะถือว่าไม่ชอบตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้วพระราชทานคืนมา แล้วจะให้เสียงข้างมากเกินสองในสามของรัฐสภาลงมติยืนยันอีกครั้งหนึ่งเพื่อจะได้ประกาศใช้ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวโดยไม่ต้องมีการลงพระปรมาภิไธย
พฤติการณ์ทั้งสามประการนี้ เป็นข้อเท็จจริง และเป็นที่มาของข้อที่คุณสุเทพ และ กปปส. ยกขึ้นเพื่ออธิบายว่า ทั้งหมดนี้คือความพยายามที่จะครอบงำอำนาจตุลาการใช้อำนาจนิติบัญญัติโดยละเมิดหลักนิติธรรม อันเป็นการ “ให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้” ซึ่งก่อให้เกิดสิทธิในการที่จะต่อต้านโดยสันติวิธีของผู้ทีคัดค้าน ไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว ได้ตามที่มาตรา 69 ของรัฐธรรมนูญรับรองไว้ และทำให้การกระทำต่าง ๆ ที่เป็นไปเพื่อเหตุแห่งการนี้มาจากเจตนาที่สุจริต และหากจะเป็นการละเมิดกฎหมายที่มีความผิดอาญาใด ๆที่ผมเรียกว่าเป็น “ความผิดอุปกรณ์” ก็จะเป็นเหตุให้ศาลใช้ดุลพินิจในการพิจารณาลดโทษ กำหนดโทษน้อยหรือไม่ลงโทษ ตามควรแก่กรณีได้นั่นเอง
วิญญูชนแต่ละคนพึงใช้ดุลพินิจของตนพิจารณาเหตุทั้งสามประการนี้ โดยตัดสินใจได้ด้วยตนเองว่าเป็นเหตุอันจะเป็นการให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐโดยวิธีการที่ไม่ชอบด้วยวิถีทางตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะทั้งหมดนี้เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่อง ก่อนที่จะมีการพูดถึงระบอบทักษิณ กระบวนการทุจริตคอร์รัปชั่นและการบริหารประเทศที่ล้มเหลวของรัฐบาลด้วยซ้ำ เพราะถ้าหากจุดเริ่มต้นในเรื่องดังกล่าวนี้มีความชอบธรรมในสายตาของกฎหมายแล้ว กระบวนการที่ดำเนินการมาโดยสงบ สันติและปราศจากอาวุธทั้งหมดก็ย่อมมีความถูกต้องชอบธรรม และย่อมยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้หรือขอความเป็นธรรมจากศาลสถิตย์ยุติธรรมในความผิดอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ด้วยนั่นเอง
@ดูเหมือน กปปส. และคุณสุเทพไปไกลถึงขนาดจะให้มีสภาประชาชน ไม่ใช่ขับไล่รัฐบาลอย่างเดียว แต่บอกว่ายุบสภาหรือลาออกก็ไม่เลิก ต้องปฏิรูปการเมืองใหม่เลยทีเดียว ข้อเสนอยุบสภาแล้วไม่รักษาการ หาคนอื่นมารักษาการเพื่อทำเรื่องตั้งสภาหรือคณะกรรมการภาคประชาชนนี้จะเป็นไปได้หรือ?
ศ.ดร. สุรพล :ถ้านายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูลให้พระมหากษัตริย์ยุบสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นกลไกของการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่ออกแบบไว้แก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง เป็นเรื่องที่ดูเหมือนว่าทุกฝ่ายในประเทศที่เรียกร้อง แต่นายกรัฐมนตรีทั้งสองซึ่งรวมทั้งนายกรัฐมนตรีปฏิบัติการอย่างคุณยิ่งลักษณ์ หรือนายกรัฐมนตรีบัญชาการอย่างคุณทักษิณ ไม่ยอมทำสักที ถ้ายุบสภาแล้ว คณะรัฐมนตรีทั้งคณะก็ต้องรักษาการต่อไป
ถามว่าไม่รักษาการได้ไหม? ในทางกฎหมายกำหนดว่าไม่ได้ คุณต้องรักษาการต่อไป แต่ถ้าในระหว่างนั้นคนรักษาการเกิดป่วยตายขึ้นมาหรือมีอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิต มันก็รักษาการต่อไปไม่ได้อยู่ดีใช่ไหม หรือถ้าปปช. ไปชี้มูลว่านายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีคนไหนทุจริต ให้ดำเนินคดีอาญาหรือให้ส่งวุฒิสภาลงมติถอดถอนผู้รักษาการที่ถูกชี้มูลนั้นก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งก็คือหยุดรักษาการด้วยนั่นเอง ใช่ไหม?
เพราะฉะนั้นจะเห็นว่า ถ้ากฎหมายบอกว่าให้รักษาการ แต่มันก็มีเหตุที่อาจจะทำให้ไม่อาจรักษาการได้อยู่เหมือนกัน วุฒิสมาชิกชุดที่แล้วก่อนเลือกตั้งวุฒิคราวนี้เมื่อสักสามปีก่อน ก็มีคนขอลาออกและไม่รักษาการในการทำหน้าที่สมาชิกวุฒิสภาระหว่างหมดวาระมาแล้วเพื่อมาสมัครรับเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกจากการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งถ้าดูรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็เขียนให้สมาชิกวุฒิสภารักษาการต่อไปหลังครบวาระเหมือนคณะรัฐมนตรีในกรณียุบสภานี้ตรงกันเลยทีเดียว ก็เห็นทำได้กันมาแล้วตามรัฐธรรมนูญนี้
เพราะฉะนั้นผมยืนยันว่าถ้าท่านนายกรัฐมนตรีปฏิบัติการจะทำตามข้อเรียกร้องของเขาจริง ๆ โดยไม่รักษาการต่อก็ทำได้ถ้าท่านจะทำ คุณทักษิณก็เคยหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีรักษาการอยู่ตั้งหลายวันในรัฐธรรมนูญฉบับที่แล้วในปี 2549 ปัญหาอยู่ที่ว่าท่านอยากจะทำไหมเท่านั้นเอง
พอนายกรัฐมนตรีรักษาการขอไม่รักษาการแล้ว และรัฐมนตรีทั้งคณะก็ไม่ขอรักษาการ ประเทศมันก็จะต้องมีคนมาเป็นคนดูแลรับผิดชอบบริหารงานในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ใช่ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนะ เพราะคน ๆ นี้จะมารักษาการเท่านั้น ถามว่าจะมีความชอบธรรมยังไงก็ต้องตอบว่า ให้ตัวแทนประชาชนที่เหลืออยู่ที่ทำหน้าที่รัฐสภา ซึ่งก็คือวุฒิสภาเสนอชื่อคนมา ไม่ต้องเป็นสภาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วยเพราะไม่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกแล้วและคน ๆ นี้ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีด้วย
แต่มารักษาการเพื่อจัดการเลือกตั้งและออกกฎ ระเบียบต่าง ๆ ซึ่งอาจจะรวมไปถึงการตั้งสภาปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปรัฐธรรมนูญเลยก็ได้ แล้วก็เสนอการดำเนินการต่อไปให้ลงประชามติโดยคนทั้งประเทศเพื่อให้มีผลบังคับผูกพันเป็นกฎหมายได้นั่นเอง ถ้าถามว่าใครจะเป็นคนรับสนองพระบรมราชโอการในเวลาแต่งตั้งรักษาการนายกรัฐมนตรีคนนี้ ก็ต้องเป็นประธานวุฒิสภาซึ่งทำหน้าที่ประธานรัฐสภาในเวลานั้นนั่นเอง
ทั้งหมดนี้คือหลักใหญ่ที่อธิบายโดยเหตุและผลของเงื่อนไขของการปกครองแบบประชาธิปไตย ถ้านายกปฏิบัติการเชื่อและทำตามนั้น โดยไม่ต้องไปเถียงกันว่ามันจะทำได้ตามมาตรา 3 มาตรา 7 หรือมาตรา 180 ของรัฐธรรมนูญผมยังคิดว่าที่เถียง ๆ กันออกทีวีอยู่ตอนนี้ เป็นการพยายามหาเรื่องและหาทางเถียงกันในประเด็นของข้อกฎหมายเพื่อที่จะบอกว่ามันติดโน่นติดนี่ก็เลยน่าจะทำไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่คิดมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าไม่ทำต่างหาก
@ คิดว่าสถานการณ์ที่มีคนนับล้านออกมาเดินถนนคัดค้านรัฐบาลหลายครั้ง และดูเหมือนจะขยายตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ และอาจจะเป็นความรุนแรงได้ขนาดนี้ ทำไมรัฐบาลยังไม่ตัดสินใจยุบสภา?
ศ.ดร. สุรพล : ตรงไปตรงมานะ ผมคุยกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคเพื่อไทยหลายกลุ่ม พรรคร่วมรัฐบาลหลายกลุ่ม เขาเห็นตรงกันมาตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนแล้วว่าต้องยุบสภาแล้วให้ประชาชนตัดสินใจทางการเมืองใหม่ มีเวลาอีกหกสิบวัน เอาความขัดแย้งไปเป็นแคมเปญของพรรคเลยว่าพรรคจะเอานิรโทษกรรม จะแก้รัฐธรรมนูญ ถ้าชนะเลือกตั้งก็เท่ากับคนส่วนใหญ่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะให้ทำอย่างนี้แล้วจะมีความชอบธรรมทางกฎหมายและทางการเมืองที่จะเดินต่อได้ แล้วเขาก็พูดกันในพรรคมานานแล้วว่าควรจะต้องยุบ
แต่พอถามว่าแล้วได้บอกคนมีอำนาจยุบแล้วหรือยัง ผมก็ได้รับคำตอบว่า ยัง ยังไม่กล้าเพราะขืนไม่บอก เดี๋ยวนายกรัฐมนตรีบัญชาการไม่พอใจ อนาคตการเมืองของคนบอกก็จบ สู้อยู่เฉย ๆ จะดีกว่า
ผมคิดว่าปัญหาของชาติ ความขัดแย้งรุนแรงและอาจต้องเสียเลือด เสียชีวิตกันอีกคราวนี้แก้ไขได้ง่ายมาก โดยทันที โดยการคืนอำนาจอธิปไตยให้ประชาชน แต่จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่มีการยุบสภา ที่เป็นอย่างนี้เพราะเรามีนายกรัฐมนตรีที่ตัดสินใจยุบสภาอยู่สองคน คือนายกรัฐมนตรีปฏิบัติการกับนายกรัฐมนตรีบัญชาการ นายกรัฐมนตรีปฏิบัติการอยู่หน้างานเห็นปัญหา ต้องเป็นคนตอบคำถามนักข่าว ต้องชี้แจงสื่อ ต้องรับความกดดันในสภา
แต่นายกรัฐมนตรีบัญชาการ ลอยตัวอยู่เมืองนอก ไปไหนมาไหนไม่มีนักข่าวตามคอยถามเอาคำตอบ ไม่ต้องมาตอบกระทู้หรืออภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ต้องถูกนักข่าวต่างประเทศไล่บี้เอาคำตอบ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งในทางกฎหมายและในทางการเมือง แต่มีอำนาจเต็มสั่งการได้ทุกระบบ คุมข้าราชการได้ทุกกระทรวง ทบวง กรม ปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้ว่าราชการ ผู้บัญชาการตำรวจ เรื่อยลงไปถึงผู้กำกับ ไม่มีใครที่นายกรัฐมนตรีบัญชาการไม่เป็นคนตรวจรายชื่อก่อน โดยที่ตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น
ทั้งไม่ต้องมาคอยรับผิดชอบเจรจาแก้ปัญหาอะไรกับใครทั้งนั้นมันก็สบายดีอยู่แล้ว รายละเอียดพวกนี้ผมไม่มีเวลาอธิบายยาวว่ารากเหง้าของระบอบทักษิณที่มันมีรากยาวแค่ไหนและชอนไชประเทศให้เสียหาย เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นไปทุกหย่อมหญ้ายังไงบ้าง ไปนั่งฟังที่ราชดำเนินหรือที่ศูนย์ราชการเองก็จะได้เห็นประเด็นเหล่านี้ เอาเป็นว่า ผมเชื่อว่านายกรัฐมนตรีปฏิบัติการอยากจะแก้ปัญหาโดยการยุบสภา
แต่นายกรัฐมนตรีบัญชาการบอกไม่ให้ยุบเพราะไม่เห็นว่ามันจะเดือดร้อนอะไร ทน ๆ อีกสักพักผู้คนที่มาชุมนุมก็ลดลง ยอมดื้อตาใสทำเป็นไม่รู้ ไม่ชี้สักพัก โดยไม่ต้องบริหารราชการไปก็ได้ เดี๋ยวก็เป็นนายกรัฐมนตรีปฏิบัติการต่อไปได้อีก เพราะลึก ๆ แล้วนายกรัฐมนตรีบัญชาการก็กลัวว่าจะเลือกตั้งมาใหม่จะไม่ได้เท่าปัจจุบัน แล้วอำนาจจะสั่นคลอนด้วย ฉะนั้น บ้านเมืองที่ตึงเครียดจนไม่รู้ว่าจะระเบิดเมื่อไหร่อยู่ตอนนี้ขึ้นจึงอยู่ในอุ้งมือคุณทักษิณ นายกรัฐมนตรีบัญชาการซึ่งมีอำนาจโดยไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่รู้ร้อน รู้หนาว และไม่สนใจว่าสังคมไทยจะเดือดร้อนเป็นทุกข์ทางการเมืองโดยไม่รู้ว่าจะหาทางออกอย่างไร
อย่างแสนสาหัสอยู่ในขณะนี้ และที่น่าสงสารคือคนไทยจำนวนมากก็ยังไม่เห็นภาพและความโยงใยอันนำมาซึ่งแนวทางที่กำลังจะพาชาติและคนทั้งชาติไปสู่ความพินาศนี้เสียด้วย
@มีคนพูดกันมากว่าถึงรัฐบาลจะยุบสภาก็ไม่ได้แก้ปัญหาอะไร เพราะเดี๋ยวพวกที่แพ้เลือกตั้งก็จะขนคนมาประท้วงเกิดความวุ่นวายกลับไปสู่สภาพเดิมอีก?
ศ.ดร. สุรพล : นี่เป็นการอธิบายแบบมักง่ายและเอาความต้องการที่จะไม่ทำอะไรของตัวเองเป็นตัวตั้ง และมาหาเหตุผลทีหลัง อย่าลืมนะครับว่าตั้งแต่สิงหาคม 2554 ที่พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งและคุณยิ่งลักษณ์มาเป็นนายกรัฐมนตรีปฏิบัติการนี้ ผ่านมาสองปีกับสองเดือนหรือ 26 เดือนเต็ม ที่คุณยิ่งลักษณ์บริหารประเทศนี้มา โดยเรียบร้อยปรับคณะรัฐมนตรีมา 3-4 ครั้ง ออกกฎหมายและกำหนดนโยบายมาสารพัด ตั้งแต่ค่าแรง 300 บาท ปริญญาตรีหมื่นห้า จำนำข้าวมาสามปีติดกันมาแล้ว ทำเรื่องน้ำสามแสนห้าหมื่นล้านบาท ย้ายข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ มาสามรอบใหญ่แล้ว ไม่เคยมีใครไปค้านอะไรเลย รัฐบาลบริหารประเทศมาอย่างราบรื่น สองปีกว่า โดยไม่มีม็อบไหนมาไล่ ฝ่ายค้านก็ทำงานในสภาชนิดไม่ค่อยได้ผลอะไร ไปเรื่อย ๆ
เพราะนายกรัฐมนตรีปฏิบัติการคงไม่ชอบไปสภากระบวนการตรวจสอบในสภาก็ดำเนินการไปอย่างแกน ๆ
นึกให้ดีนะครับว่าสองปีสองเดือนหลังเลือกตั้ง เมื่อได้รับเสียงข้างมากและได้อำนาจจากประชาชนมาแล้วรัฐบาลคุณทักษิณ และคุณยิ่งลักษณ์ปกครองประเทศมาโดยราบรื่น ใครไม่เห็นด้วยก็ไปค้านในสภา ไปพูดเวทีต่าง ๆ แต่ก็ไม่มีม็อบมาไล่รัฐบาล เรื่องทั้งหมดมาเกิดเมื่อเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคมนี่เอง ตั้งแต่มีเรื่องนิรโทษกรรมเหมาเข่ง มีเรื่องไม่รับอำนาจศาลและแจ้งความจับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ผมพูดถึงตอนต้นที่ทำให้เกิดคนลุกฮือขึ้นมาต่อต้าน นี่ถ้ารัฐบาลไม่ทำเรื่องเหลวไหล ผิดกฎหมาย ทำลายนิติธรรมและนิติรัฐ ป่านนี้ก็คงยังประชาพิจารณ์ สร้างเขื่อน ขุดคลอง หรือวางทางรถไฟความเร็วสูงกันให้สนุกสนานอยู่กระมังครับ
เพราะฉะนั้น ใครที่บอกว่าเลือกตั้งใหม่ก็ยังจะมีพวกที่ไม่ยอมรับ และจะมีความรุนแรงอีกก็เป็นการพูดที่ไม่รับผิดชอบ และจงใจไม่ดูประวัติศาสตร์ในช่วงก่อนสักสองปีกว่าของรัฐบาลชุดนี้ และจงใจตัดตอนเอาคำอธิบายมาใส่กับสิ่งที่ตั้งใจไว้ที่จะจงใจไม่ยอมคืนอำนาจอธิปไตยให้ประชาชนแน่นอนครับ
@แน่ใจหรือว่าการยุบสภาจะแก้ปัญหาวิกฤตการเมืองในเวลานี้ได้?
ศ.ดร. สุรพล : ผมแน่ใจมากครับ ว่าการยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาไม่ว่าจะเป็นไปตามแนวทางขอบคุณสุเทพหรือ กปปส. ที่นายกรัฐมนตรีปฏิบัติการพูดว่าอยากจะทำแต่ติดขัดว่าตามกฎหมายจะทำไม่ได้ ทำได้ครับทำเลย ยุบสภาเลยและทำดหมายกราบบังคมทูลเลยว่ามีประชาชนหลายภาคส่วนไม่ไว้วางใจให้ปฏิบัติหน้าที่รักษาการ เพื่อมิให้เกิดความขัดแย้ง แตกแยกของคนในชาติ จึงขอไม่รักษาการพร้อมกับคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ แล้วแจ้งไปยังประธานวุฒิสภาซึ่งทำหน้าที่ประธานรัฐสภาเพื่อส่งให้เรียกประชุมสภาหาคนมารักษาการนายกรัฐมนตรีจริง ๆ เพื่อจะได้เป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการปฏิรูปการเมืองโดยประชาชนต่อไปได้
หรือหากจะปฏิเสธข้อเสนอของ กปปส. ไม่อยากทำตาม แต่ต้องการแก้ปัญหาของประเทศจริง ๆ จะตัดสินใจยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนทั้งหมดโดยตรง แล้วไปประกาศนโยบายแข่งกัน ใครชนะได้ความไว้วางใจจากประชาชนก็มีความชอบธรรมที่จะปกครองประเทศและเอานโยบายที่ประกาศไว้มาใช้บริหารได้ หลังเลือกตั้งแล้วประชาชนและทุก ๆ ฝ่ายยอมรับให้รัฐบาลที่มาจาการเลือกตั้งบริหารไปได้ทั้งนั้นเพราะรัฐบาลก็มีประสบการณ์ตรงในเรื่องนี้มาตั้งสองปีเศษอยู่แล้วขออย่าเหลวไหล ออกกฎหมายแบบหลับหูหลับตาช่วยแต่พวกตัวเองอย่างคราวนี้ก็แล้วกัน
ผมคิดว่าการยุบสภาเป็นวาล์วนิรภัยตัวแรกที่สุดของระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่ทุกรัฐบาลในระบอบนี้เขาใช้กัน อย่าทำให้เป็นข้อยกเว้นหรือทำให้เป็นเรื่องยาก และโปรดอย่าอ้างว่ารัฐบาลได้รับมอบหมายให้มาอยู่บริหารประเทศสี่ปีและต้องอยู่ให้ครบ เพราะแท้ที่จริงแล้ว การที่รัฐธรรมนูญให้อยู่ได้เต็มที่ไม่เกินสีปี่เท่านั้นโดยในระหว่างนั้นรัฐธรรมนูญก็ได้ออกแบบกลไกการยุบสภาไว้ให้ใช้แก้ปัญหาอยู่แล้ว ทั้งระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาของทุกประเทศในโลกนี้ก็แทบไม่มีรัฐบาลใด ต่อให้ชนะเลือกตั้งมากมายท่วมท้นแค่ไหน อยู่ได้ครบ 4 ปีหรอกครับ ประวัติศาสตร์การเมืองไทยก็บอกว่ารัฐบาลของคุณทักษิณสมัยแรกเท่านั้นที่มีอยู่ได้ครบเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในประวัติศาสตร์การเมืองของเรา
คุณยิ่งลักษณ์ไม่ต้องพยายามอยู่ต่อหรอกครับ กลับไปหาประชาชนที่สนับสนุนพรรคการเมืองของคุณ และถ้าคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้เขาเลือกมาใหม่ก็จะอยู่ได้อีกไม่เกินสี่ปีครับ แต่ถ้าเข้ามาใหม่แล้วยังทำอะไรเหลวไหลเหมือนครั้งนี้อีกก็อาจถูกกดดันให้กลับไปหาประชาชนใหม่เหมือนคราวนี้ได้เหมือนกันนะ
สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้มีผู้คนนับล้านออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล และรัฐบาลก็กำลังรวบรวมคนเข้ามาชุมนุมเผชิญหน้า ความตึงเครียดรุนแรงมีโอกาสพัฒนาไปเป็นสถานการณ์แบบที่เกิดที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้ง่ายมาก และถ้ามันเกิดขึ้นจนทำให้เกิดหายนะครั้งรุนแรงของประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ร้ายแรงกว่าเหตุที่เกิดที่รามคำแหงอีกหลายร้อยหลายพันเท่า และจะมีความเสียหายใหญ่หลวงกับทุก ๆ สถาบันของประเทศอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างแน่แท้
การแก้ไขปัญหาและความขัดแย้งทางการเมืองเฉพาะหน้ามัน แก้ไขได้โดยระบบโดยการตัดสินใจคืนอำนาจให้ประชาชนโดยการยุบสภา ก็ขอให้คุณยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีปฏิบัติการหารือสองคนกับนายกรัฐมนตรีบัญชาการโดยเร็ว เพื่อจะพาให้ประเทศชาติหลุดพ้นไปจากสถานการณ์วิกฤตนี้ให้ได้ทันท่วงที ถ้ายังไม่ตัดสินใจและไม่ยุบสภา
ผมจะถือว่าเป็นความรับผิดชอบทั้งหมดที่เกิดมาจากการเสพติดอำนาจของคุณยิ่งลักษณ์และคุณทักษิณ และก็จะแสดงเจตนาแสดงสัญลักษณ์ด้วยการเป่านกหวีดต่อหน้าคุณยิ่งลักษณ์ในทุกครั้งที่มีโอกาส เพื่อเรียกร้องให้รับผิดชอบและตัดสินใจยุบสภาเพื่อแก้ปัญหาให้ชาติบ้านเมือง และเพื่อให้มีพลังของสำนึกที่ถูกต้องก็อยากจะเรียกร้อง วิงวอนให้เพื่อน ๆ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ทำงานอยู่เป็นประจำกับคุณยิ่งลักษณ์ช่วยกันตักตือนและให้สติกับคุณยิ่งลักษณ์ให้เห็นแก่ชาติ บ้านเมือง และร่วมกันกับผมในการเป่านกหวีดต่อหน้าคุณยิ่งลักษณ์
เพื่อเรียกร้องให้ยุบสภาแก้ปัญหาวิกฤตของชาติในคราวนี้ด้วยกันด้วยครับ