ข้อเสนอทางออกประเทศไทย...ผ่านข้อตกลงประกอบการยุบสภา
วันที่ 4 ธันวาคม 2556 ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) โพสต์ข้อความทางเฟชบุค ถึงข้อเสนอทางออกประเทศไทย...ผ่านข้อตกลงประกอบการยุบสภา
"อยากเชิญชวนให้ใช้ช่วงเวลาพักรบที่หายากนี้ช่วยกันระดมสมองว่า พอจะมีข้อตกลงทางการเมืองที่สามารถ ‘แนบ’ ไปพร้อมกับการเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียุบสภาที่พอจะเป็นที่ยอมรับของหลายฝ่าย (ไม่ใช่แค่สองฝ่าย) ได้หรือไม่ เพราะเกรงว่า การเสนอให้ยุบสภาโดยไม่มีเงื่อนไขอาจยังไม่เพียงพอต่อการทำให้เหตุการณ์สงบยาวนานพอจะเห็นบ้านเมืองก้าวไปข้างหน้าได้บ้าง แม้จะก้าวช้า ๆ ก็ตาม
ผมคิดว่า ข้อตกลง ประกอบการยุบสภาต้องมีคุณสมบัติ
(ก) คงไว้ซึ่งหลักการ ปชต. เสียงข้างมาก
และ (ข) ลดข้อบกพร่องในทางปฏิบัติของการใช้เสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ ‘เพียงอย่างเดียว’ เช่น รัฐสภามิได้ดำเนินการสอดคล้องกับหลักพื้นฐานของประชาธิปไตยในการรับรองสิทธิ์และเสรีภาพของทุกคนอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะผ่านการใช้เสียงข้างมากละเมิดนิติรัฐ นิติธรรม หรือการไม่รับฟังข้อท้วงติงใด ๆ เลยในการออกนโยบายที่สำคัญ ๆ ของประเทศ ซึ่งหลายครั้งชัดเจนว่ากระทำการเช่นนั้นเพื่อประโยชน์ของผู้กุมอำนาจ ‘จำนวนน้อย’ เป็นหลักจนนำไปสู่การชุมนุมทางการเมืองในปัจจุบัน
ความจริงแล้วคุณสมบัติข้างต้นไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะคือสิ่งที่ รธน. ปี 2540 และ 2550 คำนึงถึงมาก่อนแล้ว แต่ประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่าทั้งสองฉบับล้วนมีจุดบกพร่อง ไม่ว่าจะในการบังคับใช้หรือมีจุดอ่อนในหลักการพื้นฐาน เช่น รธน. ปี 40 ไม่สามารถป้องกันการใช้อำนาจในทางที่ผิดของฝ่ายบริหารได้จริง ในขณะที่ รธน. 2550 มีเนื้อหาบางส่วนไม่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย ดังนั้นในปัจจุบันคงหนีไม่พ้นการแสวงการ รธน. ใหม่ที่ปรับปรุงและแก้ปัญหาของ รธน. ทั้งสองฉบับดังกล่าว
และนี่คือข้อตกลงที่ควรมีประกอบการยุบสภา
ผมขอเสนอรายละเอียดข้อตกลงดังกล่าวอย่างนี้....
ให้ทุกพรรค (หรือพรรคที่มีที่นั่งสูงสุดในสภาผู้แทนปัจจุบัน 4 อันดับแรก) ให้สัตยาบันประกอบการยุบสภาว่า
(1) จะหาเสียงหลังยุบสภาโดยต้องมีข้อเสนอของพรรคเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญที่ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนสามารถแสดงความเห็นในเรื่องนี้เป็นชั้นแรกผ่านการเลือกพรรคการเมือง
(2) หลังเลือกตั้งให้รัฐสภาใหม่ จัดให้มี สสร. ที่มีสมาชิกตามสัดส่วนที่นั่งแต่ละพรรคที่ได้รับเลือกตั้งมา โดย สสร. ไม่จำเป็นต้องเป็น สส. แต่ให้พรรคเป็นผู้เสนอชื่อ
(3) ให้ สสร. ออกแบบ ถกเถียง และสุดท้ายออกเสียงลงมติรับรอง รธน. ใหม่โดยต้องได้รับเสียง 2/3 หรือ 3/4 ของสมาชิก สสร. (อันนี้ปรับใช้แนวทางการแก้รัฐธรรมนูญของสหรัฐ ที่่ต้องได้เสียงถึง 4/5 ของ congress จึงจะแก้ได้ ซึ่งผมชอบเพราะ รธน. เป็นกฏหมายใหญ่ควรได้รับการสนับสนุนด้วยเสียงข้างมากลักษณะ super majority ไม่ใช่เพียงเกินกึ่งหนึ่งแบบ simple majority ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อความขัดแย้งในสังคมที่รุนแรง เช่นคนจำนวน 49% ของประเทศไม่เห็นด้วยกับสาระใหม่ของรัฐธรรมนูญและออกมาต่อต้านตามท้องถนนในที่สุด)
(4) เมื่อ รธน. ใหม่ร่างเสร็จก็ให้ทำประชามติ เพื่อให้ประชาชนออกเสียงอีกรอบ โดยขั้นตอนนี้ใช้ simple majority ได้ และตรงกับที่ศาล รธน. เคย rule ไว้ว่าการแก้ รธน. ทั้งฉบับต้องขอประชามติ
แนวทางนี้ พรรคเพื่อไทยอาจไม่ชอบข้อ (3) ที่ต้องการเสียง 2/3 หรือ 3/4 ของ สสร. เพราะอาจกลัวตัวเองไม่ได้เสียงมากพอต่อการร่างเนื้อหา รธน. ใหม่ตามที่ตัวเองต้องการ
แต่ภายใต้การกดดันของการชุมนุมและภาคส่วนอื่นในสังคมที่ต้องการเห็น ‘การปฏิรูปประเทศ’ พรรค พท. อาจยอมไปวัดดวงในสนามเลือกตั้ง เพราะคงยังเชื่อว่าจะได้เสียงข้างมากมากพอ
ส่วนทางผู้ชุมนุมก็อาจพอใจว่า การแก้รัฐธรรมนุญตามแนวทางนี้เสียงส่วนน้อยได้รับการเคารพสิทธิ์และมีโอกาสนำข้อเสนอปฏิรูปประเทศแทรกไว้ใน รธน. ฉบับใหม่ผ่านพรรคการเมืองที่ได้รับเสียงส่วนน้อย
ไม่ต้องมีการจัดตั้งสภาประชาชนที่ฟังดูเลื่อนลอย แต่ที่สำคัญคือไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะสามารถออกแบบ ‘การปฏิรูป’ ที่ได้รับการยอมรับมากพอจนไม่ทำให้เกิดการชุมนุมประท้วงของอีกฝ่ายในที่สุด
เป็นไปได้ว่ากระบวนการร่าง รธน. ใน สสร. ที่เสนอข้างต้นจะลากยาว แต่ผมคิดว่าการลากยาวไปบ้างไม่ใช่ข้อเสียหาย ดีเสียอีกที่สังคมโดยรวมสามารถใช้เวลาที่มีเพิ่มขึ้นนำเสนอข้อเสนอต่าง ๆ ให้ตกผลึกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่ต้องการยืนยันหลักการประชาธิปไตย หรือฝ่ายที่ต้องการเพิ่มเติมกระบวนการอื่นใน รธน. (ที่เรียกว่าการปฏิรูป) ที่ทำให้เสียงส่วนน้อยพอจะอยู่ร่วมกับการบริหารโดยรัฐบาลที่มีเสียงข้างมากได้แม้จะไม่ชอบก็ตาม
ช่วย ๆ กันคิด ยินดีรับฟังทุกท่านว่าควรปรับแก้ตรงไหนอย่างไร ไม่อยากเห็นเพียงข้อเสนอให้ยุบสภาเฉย ๆ ที่ไม่ตอบโจทย์ฝ่ายผู้ชุมนุม ในขณะที่ก็ป้องกันมิให้ผู้ชุมนุมเสนอข้อเสนอแนะที่นอกหลักการจนเดินหน้าไม่ได้ หากเงื่อนไขข้างบนได้รับการปรับปรุงจนพอจะเป็นที่ยอมรับกันได้ในวงกว้างระดับหนึ่ง ประเทศอาจหลีกเลี่ยงการเสียเลือดเนื้อ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้แม้จำนวนผู้ขุมนุมอาจเหลือไม่กี่พันคนหลังการยุบสภาแบบไม่มีเงื่อนไข
ไม่อยากเห็นการสูญเสียชีวิตอย่างไม่จำเป็นอีกแล้ว...."
ภาพประกอบจาก thaipublica