วิกฤตชาติแก้ไม่ได้ด้วยปืน 'ประเวศ' แนะคิดวิจัยยุทธศาสตร์ แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง
ปธ.สมัชชาปฏิรูป หนุน คณาจารย์รวมกลุ่มทำวิจัย-ยกระดับมหาวิทยาลัยเป็นชุมชนวิชาการ ป้อนความรู้-พลังปัญญาให้สังคม เผย การศึกษาไทย ต้นเหตุทำคน-การเมือง-ประชาธิปไตยอ่อนแอ
วันที่ 22 มิถุนายน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ร่วมกับประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ปอมท.) จัดเสวนา “มหาวิทยาลัยกับการรับผิดชอบต่อสังคม: มุมมองของประธานสมัชชาปฏิรูป” ณ ห้องประชุมชั้น 3 อาคารวิจัยและการศึกษาต่อเนื่อง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร กรุงเทพ โดยมี ศ.นพ.ประเวศ วะสี ประธานสมัชชาปฏิรูป ปาฐกถาพิเศษ “มหาวิทยาลัยกับการรับผิดชอบต่อสังคม: มุมมองของประธานสมัชชาปฏิรูป”
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยเป็นขุมกำลังทางปัญญาของประเทศ เพราะประกอบด้วยอาจารย์ นักวิชาการ นิสิตนักศึกษา จึงควรเป็นหัวรถจักรทางปัญญาที่จะพาชาติออกจากวิกฤต แต่ที่ผ่านมามีการตั้งคำถามว่า แม้ประเทศจะมีขุมปัญญาดังกล่าว แต่ทำไมถึงมีวิกฤตสุดๆ ในทุกๆ ด้าน ทั้งนี้ เนื่องจากการมองโดยเอาวิชาการเป็นตัวตั้ง ดังนั้น ถึงเวลาต้องมองอีกมุม นั่นคือ มองจากแง่สังคม เอามนุษย์ การอยู่ร่วมกันเป็นตัวตั้ง เพราะเป็นวิธีการที่ทำให้เกิดพลังสร้างสรรค์มากขึ้น
“มหาวิทยาลัยเป็นชุมชนวิชาการ มีคณาจารย์ที่สามารถรวมกลุ่มกันทำงานวิจัยในเรื่องสำคัญๆ ของประเทศได้ โดยการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ แต่ที่ผ่านมานักวิชาการไทยทำแค่วิเคราะห์วิจารณ์เท่านั้น ไม่ก้าวไปถึงขึ้นสังเคราะห์หรือจัดการให้เกิดขึ้นจริงได้เลย”ศ.นพ.ประเวศ กล่าว และว่า การวิเคราะห์ สังเคราะห์ เปรียบได้กับช่างซ่อมรถ เวลาถอดอะไหล่ออกมาก็พร้อมประกอบเข้าที่ แต่หากไม่มีการคิดสังเคราะห์ก็ทำได้แค่โยนอะไหล่ทิ้ง
ปธ.สมัชชาปฏิรูป กล่าวถึงประเด็นที่น่าจะมีการศึกษาวิจัยในมหาวิทยาลัยว่า น่าจะเป็นเรื่องระบบและโครงสร้าง เพราะคนไทยมีความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวน้อยมาก พอเกิดอะไรขึ้นก็มักจะโทษตัวบุคคลว่า ดี หรือเลวอย่างนั้นอย่างนี้ หาคนที่คิดเชิงระบบและโครงสร้างได้ยาก
“โครงสร้างที่มีความมั่นคงฐานต้องกว้างและแข็งแรงเหมือนกับพีระมิด ตึก หรือพระเจดีย์ ซึ่งต้องสร้างจากฐาน สังคมก็เช่นเดียวกันต้องเริ่มสร้างที่ชุมชน เพราะหากเน้นแต่พัฒนาส่วนยอด จะยิ่งทำให้ช่องว่างระหว่างคนจนคนรวยถ่างมากขึ้น ศ.นพ.ประเวศ กล่าว และว่า อย่างเช่น ประเทศนอร์เวย์มีช่องว่างห่างกัน 4 เท่า ส่วนประเทศไทยห่างกันถึง 10 เท่า ช่องว่างดังกล่าวจึงนำไปสู่ปัญหาทางสังคม สิ่งแวดล้อม อาชญากรรม รวมถึงความแตกแยกทางการเมืองที่จะฆ่ากันตายอยู่ทุกวันนี้
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวถึงการศึกษาไทยที่ผ่านมาว่า ทำให้คน การเมือง ประชาธิปไตยอ่อนแอ เพราะไม่ได้พัฒนาโดยเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง อีกทั้งไม่ได้มีการส่งเสริมให้คนเรียนรู้ชุมชน
“ประเทศไทยมี 77 จังหวัด 80,000 หมู่บ้าน มีผู้ใช้แรงงาน 38 ล้านคนที่มีฐานะยากจน หากคนกลุ่มนี้ซึ่งเป็นฐานของประเทศอยู่ไม่ได้ ประเทศจะมีความมั่นคงได้อย่างไร การพัฒนาจึงต้องเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง อีกทั้งมหาวิทยาลัยก็ต้องเข้าไปร่วมทำงานกับพื้นที่ อย่างน้อย 1 มหาวิทยาลัย 1 จังหวัด เพื่อเสริมความรู้ โยนเทคโนโลยีที่เหมาะสมให้กับท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้ท้องถิ่นพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว”
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวว่า ปัญหาของประเทศแก้ไม่ได้ด้วยการยิงปืน ดังนั้นในภาพรวมจะต้องมีการคิดวิจัยเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ชาติควบคู่ไปด้วย ขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยอาจจัดตั้งเป็นศูนย์รวมความรู้ (Knowledge Center) เพื่อเป็นแหล่งปล่อยความรู้วิชาการและปัญญาไปสู่สังคม เพราะขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะต่อไปได้
ทั้งนี้ ศ.นพ.ประเวศ กล่าวถึงการทำงานของคณะกรรมการปฏิรูปและคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปว่า เป็นการทำงานเชื่อมโยงพลังทางปัญญาและสังคม เพื่อแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยใช้วิธีคิดที่เรียกว่า "ธรรมะเชิงโครงสร้าง"
“เราไม่ได้รังเกียจพระที่สอนเรื่องธรรมะ ศีลธรรม แต่วิธีการดังกล่าวแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำไม่สำเร็จ จึงมีการเสนอให้มีการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจจากส่วนกลาง ไปเพิ่มอำนาจให้กับท้องถิ่น ปฏิรูปการจัดการที่ดิน การเข้าถึงทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงระบบภาษี ซึ่งขณะนี้กำลังพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นในทางปฏิบัติ"