เอ็นจีโอวอนรัฐยืดเวลาโครงการน้ำ รับฟังความเห็นต่างให้รอบคอบก่อน
"นิคม พุทธา" ชี้ปัญหาที่รัฐบาล-กบอ.ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน คือประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำ แนะเอานักวิชาการ ผู้รู้ นั่งคุยระดมความเห็นใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีร่วมกันหาทางออก อย่าให้การตัดสินใจอยู่ที่คนคนเดียว ที่ใช้อารมณ์นำสติปัญญา
ภายหลังจากที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ผ่านไปแล้วหลายเวทีในหลายจังหวัด ซึ่งมีทั้งเสียงที่สนับสนุนและคัดค้านนั้น
นายนิคม พุทธา นักอนุรักษ์และนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม กล่าวกับสำนักข่าวอิศราถึงการจัดเวทีรับฟังความเห็น รัฐบาลต้องสร้างความเข้าใจด้วยว่า เมื่อประชาชนเข้าร่วมแล้วไม่ได้หมายความว่า รับรู้รับฟังแล้วจะแล้วเสร็จ ซึ่งยังต้องมีกระบวนการอื่นๆอีกต่อไป ขณะที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องก็เข้าใจด้วยว่า การที่หน่วยงานราชการมาจัดเวทีรับฟัง ไม่ใช่จัดแล้วจะดำเนินการได้เลย ภาครัฐจะต้องเอาข้อทวงติงไปประกอบการพิจารณา ซึ่งเราต้องไม่เพิกเฉยและต้องติดตามการดำเนินการไปเรื่อยๆ
เมื่อถาม ถึงการที่ต่างฝ่ายต่างยังคงแสดงจุดยืนของตัวเองนั้น นายนิคม กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นอ่างเก็บน้ำหรือเขื่อน ก็ไม่สามารถแก้วิกฤติน้ำท่วมน้ำแล้งได้ เนื่องจากปัญหาเหล่านี้ไม่เกิดเพราะไม่มีเขื่อน แต่เกิดขึ้นเพราะป่าไม้ถูกทำลาย ฝนตกลงมาป่าไม่ได้ทำหน้าที่กักเก็บน้ำ ห้วยหนองถูกบุกรุก ระบบนิเวศถูกทำลาย
"สิ่งที่สงสัยอีกหนึ่ง เรื่อง คือ ทำไมคนถึงไม่เข้าใจปรากฏการณ์ธรรมชาติว่า หน้าแล้งน้ำย่อมขาดแคลน และหน้าฝนต้องมีน้ำท่วมเป็นธรรมดา ตัวอย่างเช่นจังหวัดอยุธยาเป็นพื้นที่ราบลุ่ม เป็นอู่ข่าวอู่น้ำเหมาะกับการทำเกษตร แต่รัฐบาลก็จัดการที่ดิน เอาอุตสาหกรรมไปลงในพื้นที่น้ำก็ย่อมท่วมเป็นธรรมดา" นักอนุรักษ์ กล่าว และว่า สำนึกทางจิตวิญญาณหายไปไหน เราเอาเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์มาเป็นเครื่องมือซุกซ่อนประโยชน์แอบแฝง ทั้งการกู้เงิน การให้ต่างชาติมารับเหมาก่อสร้าง ถ้ากระบวนการทุกอย่างพูดกันด้วยเหตุด้วยผลเชื่อว่า ทุกคนย่อมรับกันได้ ยกเว้นเสียแต่จะมีวาระซ่อนเร้น เรื่องผลประโยชน์พวกพ้อง
นายนิคม กล่าวถึงนโยบายการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลเป็นนโยบายที่เร่งรัดจนเกินไป และการกู้เงินสูงถึง 3.5 แสนล้านบาทจะสร้างภาระให้กับประเทศ ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องยืดระยะเวลาออกไป และจะต้องรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างเพื่อให้เกิดความรอบคอบมากยิ่งขึ้น
"การแก้ไขปัญหาทรัพยากร หรือเรื่องน้ำท่วมน้ำแล้งไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ เฉพาะแต่ละปีก็สามารถที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ เช่น การเข้มงวดรักษาป่า ซึ่งเปรียบเสมือนเขื่อนธรรมชาติ ขุดลอกห้วยหนองคลองบึงที่ตื้นเขิน คำนวณน้ำท่าที่ไหลบนผิวดิน ซึ่งคำนวณได้ว่า น้ำมีเท่าไรจะต้องกักเก็บอย่างไร ถ้าน้ำมากเกินไประบายให้ลงทะเล แต่ขณะนี้สิ่งปลูกสร้างไปบดบังทำให้น้ำไม่สามารถลงสู่ทะเลได้"
ส่วนปัญหาที่รัฐบาลและกบอ.จะต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนนั้น นายนิคม กล่าวว่า คือประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำเอานักวิชาการผู้รู้ในเรื่องนี้มานั่ง คุยกันระดมความเห็นใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและร่วมกันหาทางออกว่าจะบริหาร จัดการน้ำอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ ไม่อยากให้การตัดสินใจอยู่ที่คนคนเดียว คือนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี เพราะนอกจากคนคนนี้จะไม่มีความรู้เรื่องระบบนิเวศน์อย่างเพียงพอแล้ว ยังใช้อารมณ์นำสติปัญญา ไม่ค่อยมีเหตุมีผลและมุ่งหวังที่จะเอาชนะเพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้ ในมุมมองนักอนุรักษ์ นายนิคม กล่าวถึงการขับเคลื่อนเรื่องสิ่งแวดล้อมภาคประชาชนในขณะนี้ด้วยว่า ดีกว่าสมัยก่อน เนื่องจากมีกลไกของการใช้ข้อบังคับตามกฎหมาย มีการให้สิทธิกับชาวบ้านในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ มีพระราชบัญญัติ ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ให้โครงการที่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ ว่า โครงการเหล่านั้นจะต้องปฏิบัติตามข้อกฎหมาย โดยการจัดเวทีรับฟัง ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย องค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อม ดังนั้นกลไกทางกฎหมายจึงเอื้อต่อการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติมากกว่า อีกทั้งจะเห็นได้ว่ากระบวนการมีส่วนร่วมมีการพัฒนาไปตามระบอบประชาธิปไตย