“กวี จงกิจถาวร” วิเคราะห์คุณภาพสื่อไทยเข้าสู่ยุคท้าทาย
ประธานเครือข่ายสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชี้องค์ความรู้นักข่าวสำคัญสุด นักข่าวคือร่างแรกของประวัติศาสตร์ แนะฝึกนักข่าวใหม่ อย่าเน้นรายงายข่าวรุนแรงสร้างความขัดแย้ง ชี้วิทยุชุมชนจะถูกยิงตายมากขึ้น
วันที่ 18 มิถุนายน 2554 สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สภาวิชาชีพวิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย สนับสนุนโดย สำนักงานสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดประชุมใหญ่วิชาการและวิชาชีพสื่อมวลชน ระดับชาติประจำปี 2554 “อนาคตสื่อไทย: ความท้าทายภายใต้รัฐ ทุน และเทคโนโลยี” ระหว่างวันที่ 18-19 มิถุนายน 2554 ณ วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์พัทยา จังหวัดชลบุรี เพื่อแลกเปลี่ยนและสะท้อนมุมมองเชิงวิชาชีพและเชิงวิชาการต่อประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชน ทั้งในแง่วิกฤตการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและเทคโนโลยี พร้อมทั้งนำเสนอผลงานวิจัยของนักวิชาการและนักวิชาชีพด้านสื่อสารมวลชนและนิเทศศาสตร์ ประจำปี 2554 โดยมีนายกวี จงกิจถาวร ประธานเครือข่ายสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บรรยายพิเศษหัวข้อ “สื่อไทยในกระแสโลกาภิวัตน์”
นายกวี กล่าวว่า ในเวทีระดับภูมิภาคและนานาชาติเวลาพูดถึงสื่อไทย เหมือนสื่อไทยถูกรังแกและสื่อไทยยังไม่มีฝีมือ แต่ไม่ได้ยืนยันว่าสื่อไทยไม่ใช่สื่อสารมวลชน หรือเห็นว่าสื่อไทยไม่มีเสรีภาพ จากดรรชนีสื่อสากลประจำปี ค.ศ.2000 ของฟรีดอมเฮาส์ จัดอันดับเสรีภาพสื่อไทยอยู่ที่ 29 จาก 30 อันดับสูงสุดสำหรับเสรีภาพสื่ออาเซียน แต่ปัจจุบันอันดับเสรีสื่อไทยตกไปอยู่อันดับที่ 120 กว่าๆ
ลำดับที่ลดลงมาเช่นนี้ หากเปรียบสื่อเป็นเด็กหนุ่มที่ตกจากที่สูง ก็คงยังไม่ตายแค่แขนขาหักเท่านั้น ขณะเดียวกันหากเปรียบสื่อไทยเหมือนกระดาษเปล่า จะพบว่า สื่อมีเสรีภาพ แต่จะมีจุดด่างอยู่บ้างตรงที่กรณีหมิ่นพระบรมเดชนุภาพและการปิดเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ประชาไท
นายกวี กล่าวต่อว่า ภาพของสื่อไทย ไม่ได้หมายถึงเว็บไซต์แต่อย่างเดียว หากต้องมองแบบบูรณาการ ทั้งเคเบิลทีวี วิทยุ อินเตอร์เน็ต ทวิตเตอร์ เฟสบุ๊ค อีกทั้งในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา สื่อต้องทำงานในภาวะวิกฤตทางการเมืองที่ไม่นิ่ง จึงอาจไม่ได้ใช้จรรยาบรรณที่สะสมมาจากห้องเรียนมากนัก ส่งผลให้ข่าวที่ส่งออกไม่รอบด้านและมีคุณภาพที่ดีพอ ซึ่งยุคทองของสื่อไทยคือช่วงปี ค.ศ.1995-1997 เป็นช่วงร่าง รัฐธรรมนูญ 2540 สื่อมีความดีเด่นในการส่งเสริมให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น การหาประชามติ แต่ในปัจจุบันสื่อมีแต่สร้างความขัดแย้ง ซึ่งแน่นอนว่า แตกต่างจากบทบาทการสร้างความมีส่วนรวมในยุคก่อน
“ช่วงเวลาดังกล่าวสื่อทำหน้าที่เป็นผู้ส่งเสริมด้านข่าวสาร แต่ด้วยสภาพปัจจุบัน สื่อแข่งขันกันมาก เพราะมีลักษณะการส่งข้อมูลเป็นเครือข่าย หลายมัลติแชลนอล ทำให้นักข่าวต้องส่งข่าวอย่างรวดเร็ว แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า นักข่าวในยุคนี้จะรายงานจากสถานที่จริงอย่างเดียวไม่ได้ เนื่องจากในสมัยนี้มีการสร้างข่าว จัดการข่าวมากขึ้น ดังนั้น หากนักข่าวไม่ได้รับการฝึกฝน หรือไม่เข้าใจภาพที่แท้จริง การรายงานข่าวจะเป็นเพียงการรายงานคำพูดมากกว่าสิ่งที่คนได้กระทำ ทั้งนี้ อาจเพราะคำพูดที่รุนแรงขายได้ ทำให้ข่าวมัน มีสีสัน”
นายกวี แนะต่อว่า สื่อไทยจะต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตต่อไป ขณะที่นักข่าว องค์กรข่าวที่เกี่ยวข้องจะต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด สิ่งที่ท้าทายมากที่สุดไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นตัวนักข่าวเอง ที่จะต้องมีองค์ความรู้ ความรอบรู้ว่า มีความกระจ่างในข้อเท็จจริงแค่ไหน ตัวอย่างในช่วงเกิดเหตุการณ์สึนามิทางภาคใต้ของไทย มีนักข่าวคนหนึ่งรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตร้อยกว่าคน ทำให้อเมริกาประกาศให้ความช่วยเหลือทันที 19 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่ากระจอกมาก สิ่งเหล่านี้จึงสะท้อนว่า นักข่าวจะต้องเก่งตามทัน ต้องมีการฝึกฝนใหม่ให้มีความรู้ความเข้าใจสภาพแวดล้อมและข้อมูลมากขึ้น เพราะความรู้ของนักข่าวสำคัญกว่าสิ่งใด
“ขณะนี้การสอนในมหาวิทยาลัย เน้นเรื่องจรรยาบรรณมาก่อน ซึ่งเป็นเรื่องดี แต่ขณะเดียวกันต้องมีความรู้เรื่องสังคม วัฒนธรรม ประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย เพราะข่าวมีความเกี่ยวโยงกับสังคม เช่น ข่าวในพม่ามีผลกระทบกับไทย ฝนไม่ตกที่บราซิลก็กระทบกับเมืองไทยเช่นกัน สิ่งเหล่านี้นักข่าวต้องรู้ลึก เพราะนักข่าวเป็นร่างแรกของประวัติศาสตร์ ข่าวจึงต้องมีคุณภาพสูง ดังนั้น หากไม่แน่ใจอย่าส่งข่าว เพราะส่งไปแล้วเรียกกลับคืนไม่ได้ ขณะเดียวกันหากใครนำข่าวไปใช้และพบว่ามีการบิดเบือนข้อเท็จจริง นักข่าวจะอ้างว่าไม่เกี่ยวข้องไม่ได้ ขณะนี้ยูเนสโก้ มีการเสนอให้มีการเรียนการสอนหลักสูตรที่เกี่ยวกับวิชาระหว่างต่างประเทศเพิ่มขึ้น”
สำหรับสังคมข่าวปัจจุบันนั้น นายกวีชี้ว่ามีการเสนอแบบเล่าข่าวมากขึ้น ทำให้คนเขียนถูกลดทอนความสำคัญ ดังนั้น ต้องส่งเสริมนักข่าวให้เขียนข่าวอย่างรัดกุม รู้จักวิเคราะห์แบบเจาะลึก ไม่ใช่เขียนแบบสำนวนดี อ่านมันส์ แต่ข้อมูลเอาไว้ที่หลัง ขณะเดียวกันนักข่าวจะต้องภูมิใจในงานเขียน เพราะเปรียบเสมือนเป็นพยานในเหตุการณ์ต่างๆ สังคมข่าวที่มีการแข่งขันกันมาก จะยิ่งทำให้มีการ “กุข่าว” เกิดขึ้น อย่างเช่นในญี่ปุ่นพบว่า ขณะนี้มีการกุข่าวใส่ไข่กันมาก ส่วนในประเทศไทยคาดว่าจะมีสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเช่นกัน กระทั่งอาจทำให้คนทำวิทยุชุมชนถูกยิงตายมากขึ้น เนื่องจากวิทยุชุมชนเป็นสื่อเสรีใช้คำพูดรุนแรงมาก ฉะนั้น อยากเน้นที่ตัวนักข่าวว่าจะต้องมีความสามารถ มีไหวพริบ เพราะไม่เช่นนั้นเมืองไทยตาย