"ธีระชัย"กรีด"รองฯโต้ง"ความรู้ทางบัญชี"จำนำข้าว" เทียบ"หม่อมอุ๋ย"ไม่ติด?
"ธีระชัย" กรีด "กิตติรัตน์" ความรู้ทางบัญชี จำนำข้าว น้อยกว่า "หม่อมอุ๋ย" เชื่อรัฐบาลขาดทุนสองปีมากกว่า 4 แสนล้านบาท ตั้งข้อสังเกตสต๊อกที่เหลืออยู่ อาจไม่ครบถ้วน คุณภาพไม่ดี
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2556 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ใช้ชื่อว่า "Thirachai Phuvanatnaranubala" แสดงความเห็นเกี่ยวกับตัวเลขขาดทุนจากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล โดยมีรายละเอียดดังนี้
"จำนำข้าว ขาดทุนปีละกว่า 2 แสนล้าน
วันนี้มีข่าว คุณสุภา รองปลัดกระทรวงการคลังซึ่งกำลังจะพ้นตำแหน่งจากประธานคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าว ให้ข้อมูลแก่ผู้สื่อข่าวว่า ได้คำนวนตัวเลขขาดทุนสำหรับห้วงเวลาสองปี และเสนอไปแก่ปลัดกระทรวงการคลังแล้ว
ปลัดก็ยืนยันรับกันว่า คณะอนุกรรมการได้เสนอตัวเลขมาแล้ว และตนเองก็ได้ส่งข้อมูลไปให้แก่นายกรัฐมนตรีแล้ว แต่ไม่ยอมเปิดเผยตัวเลข
อย่างไรก็ดี คุณสุภาได้กรุณาให้ข้อมูลแก่สื่อมวลชน ว่ารัฐบาลขาดทุนคร่าวๆ ปีละ 2 แสนล้าน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สอดคล้องกับที่ ม.ร.ว. ปรีดียาธรได้แถลงข่าวไว้ก่อนหน้า
ภายหลังจากที่ ม.ร.ว. ปรีดียาธรแถลงตัวเลขขาดทุน 4 แสนล้านสำหรับสองปี ปรากฏว่ารองนายกและรัฐมนตรีคลัง (นายกิตติรัตน์)ได้พูดว่า ม.ร.ว. ปรีดียาธรไม่ได้เรียนวิชาบัญชี ตัวเลขจึงไม่ถูกต้อง
รัฐมนตรีพาณิชย์ออกมาเถียงว่า ขาดทุนปีหนึ่งๆ เพียง 1 แสนล้านบาท
ในประเด็นนี้ มีผู้ให้ข้อมูลแก่ผม ว่าในช่วงที่เรียนปริญญาตรีนั้น ม.ร.ว. ปรีดียาธรสอบวิชาบัญชีได้คะแนนเต็มร้อยเปอร์เซนต์ ผมไม่ยืนยัน
แต่เนื่องจาก ม.ร.ว. ปรีดียาธรเคยเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารพาณิชย์อันดับสองของประเทศไทย และเคยเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งทั้งสองตำแหน่งต้องใช้ความรู้ทางบัญชีอย่างหนัก
เปรียบเทียบกับนายกิตติรัตน์ ซึ่งเคยเป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ ผมจึงเห็นว่า ม.ร.ว. ปรีดียาธร น่าจะมีความรู้ด้านบัญชี มากกว่านายกิตติรัตน์อย่างเทียบกันไม่ติด
หากจะถกเถียงระหว่างสองคนนี้ ว่าใครเป็นผู้ที่มีความรู้ทางบัญชีมากกว่ากัน ผู้อ่านก็อาจจะไม่ถกเถียงกันได้ก็ตาม แต่หากพูดถึงคุณสุภา รับรองว่าไม่มีใครเถียง เพราะเธอเรียนมาทางนี้โดยตรง และทำงานด้านนี้มาตลอดชีวิต นอกจากนี้ ก็ยังเข้าไปช่วยงานที่สภาวิชาชีพบัญชีอย่างเต็มที่อีกด้วย
TDRI ได้พยายามอธิบาย ว่าตัวเลขของรัฐมนตรีพาณิชย์ที่ขาดทุนเพียงปีละ 1 แสนล้าน ต่ำกว่าตัวเลขของ ม.ร.ว. ปรีดียาธร ก็เพราะกระทรวงพาณิชย์ ใช้วิธีตีราคาสต๊อกข้าว ตามราคาทุน โดยอ้างว่ายังไม่ขาย ก็ควรตีมูลค่าสต๊อกตามราคาทุน
แต่ ม.ร.ว. ปรีดียาธรใช้หลักบัญชีที่ถูกต้อง ซึ่งกำหนดว่า หากราคาตลาดต่ำกว่าราคาทุน ต้องตีมูลค่าสต๊อกด้วยราคาตลาด
กรณีคุณสุภา ก็คงตีมูลค่าสต๊อกด้วยราคาตลาดด้วยเช่นกัน จึงทำให้ตัวเลขขาดทุนสูงขึ้นเป็นปีละ 2 แสนล้าน
แต่ผมขอบอกว่า ตัวเลขปีละ 2 แสนล้าน รวมสองปี 4 แสนล้านนั้น ยังต่ำกว่าความเป็นจริง
เพราะการตีมูลค่าสต๊อกนั้น ใช้สมมุติฐานว่าข้าวที่เหลืออยู่ในสต๊อกทั้งหมด มีคุณภาพที่จะขายได้ตามราคาตลาดทั้งหมด ซึ่งเป็นไปไม่ได้
ในช่วงที่ผมเป็นประธาน ธกส. นั้น ผมได้ย้ำให้ ธกส. เสนอต่อนายกรัฐมนตรี และนายกิตติรัตน์ ให้กระทรวงพาณิชย์กำหนด ให้ทุกโกดังจะต้องจัดทำการ์ดคุมสต๊อก (Stock card)
การ์ดดังกล่าวจะต้องมีการบันทึกบัญชีทุกวัน แสดงจำนวนข้าวที่นำเข้าโกดัง หรือส่งออกไปจากโกดัง ซึ่งจะทำให้สามารถดูตัวเลขสต๊อกคงเหลือได้ทุกสิ้นวัน
และที่สำคัญที่สุด ก็คือต้องมีการกำหนดให้มีผู้สอบบัญชี หรือผู้เชี่ยวชาญภายนอก ไปทำการตรวจนับสต๊อกเป็นประจำ เช่น ทุกสิ้นไตรมาส เพื่อให้ทราบว่า มีข้าวเหลืออยู่จริงๆ แต่ละโกดังเท่าใด และข้าวที่เหลืออยู่นั้น มีสภาพเป็นอย่างไร
ธกส. ได้จัดพิมพ์ข้อเสนอดังกล่าวเป็นรูปเล่ม และได้เสนอไปทั้งแก่นายกรัฐมนตรี และแก่นายกิตติรัตน์ ในช่วงปลายปี 2554 และผมได้พ้นหน้าที่ไปในเดือนมกราคม 2555
ปรากฏว่า ข้อเสนอของ ธกส. ไม่มีการปฏิบัติแต่อย่างใด
เมื่อหลายเดือนก่อน มีสถาบันจัดอันดับเครดิตของประเทศ มูดี้ส์ ออกมาวิจารณ์เกี่ยวกับขาดทุนโครงการจำนำข้าว ทำให้รัฐบาลเริ่มขบวนการสำรวจสต๊อกเป็นครั้งแรก
แต่ก็ดูเหมือนเป็นมหกรรมปาหี่ ไม่ได้มีการตรวจนับกันจริงจัง ไม่ได้มีการสอบยันกับการ์ดคุมสต๊อก ไม่ได้มีการตรวจสอบการบันทึกการ์ดคุมสต๊อก ว่าได้บันทึกข้อมูลอย่างจริงจังหรือไม่
ผมจึงมั่นใจ ว่าสต๊อกข้าวที่เหลืออยู่นั้น หากตรวจนับกันแบบมีระบบ ตามหลักการตรวจสอบบัญชีที่ถูกต้อง ก็จะพบว่า
(ก) จำนวนสต๊อกที่เหลืออยู่ อาจจะไม่ครบถ้วน และ
(ข) คุณภาพและสภาพของข้าว อาจจะต่ำกว่ามาตรฐาน ทำให้ขายได้จริงต่ำกว่าราคาตลาดอย่างมาก
ผมจึงคาดว่าขาดทุนสองปี น่าจะมากกว่า 4 แสนล้านเสียอีก"