“สุรินทร์” ชี้ไทยคอร์รัปชั่นปีละ 1 แสนล้าน เงินใต้โต๊ะพุ่ง 30%
“สุรินทร์” ชี้ไทยคอร์รัปชั่นปีละ 1 แสนล้าน จ่ายใต้โต๊ะ 30% ถึงจะได้งานรัฐทำนักลงทุนไม่มั่นใจ เงินต่างชาติฮวบ 6 พันล้านสหรัฐ แนะหามาตรการแก้ปัญหาจริงจัง-ห่วงเด็กบอกรับโกงได้ถ้าได้ประโยชน์ด้วย
(สุรินทร์ พิศสุวรรณ - ภาพจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์มติชน)
เมื่อวันที่ 12 ต.ค.2556 นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน ในฐานะประธานสถาบันออกแบบอนาคตประเทศไทย มูลนิธิควง อภัยวงศ์ ได้เผยแพร่บทความเรื่อง “ไทยเป็นหลุมดำคอร์รัปชั่นในอาเซียน สูญกว่าแสนล้านต่อปี” มีความยาว 6 หน้ากระดาษ
โดยบทความดังกล่าว มีสาระสำคัญว่า นายสุรินทร์ชี้ว่า ประเทศไทยกำลังเป็นหลุมดำทุจริตคอร์รัปชั่นในอาเซียน สูญเสียกว่าแสนล้านต่อปี ทำลายขีดความสามารถในการแข่งขัน ฉุดรั้งการพัฒนาประเทศล้าหลังอาเซียน ทั้งนี้ มีการเปรียบเทียบว่า หากมีการนำงบแสนล้านบาทที่สูญเสียไปกับการคอร์รัปชั่นไปใช้ประโยชน์ จะสามารถสร้างมหาวิทยาลัยราชภัฏได้ 400 แห่ง โรงพยาบาล 59 แห่ง รถไฟฟ้ารางคู่ขนาดเบาได้อีก 4 สาย รถไฟฟ้าบีทีเอสอีก 67 สถานี รัฐสภาแห่งใหม่ได้อีก 10 ที่ สถานีตำรวจได้อีก 5,800 แห่ง และโรงเรียนมัธยมขนาดใหญ่ในต่างจังหวัดได้อีก 1,700 แห่ง
นายสุรินทร์ กล่าวว่า ในระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา การจัดการและปราบปรามคอร์รัปชั่นในประเทศไทยไม่ได้ดีขึ้น และมิหนำซ้ำยังทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น คนไทยกว่า 1 ใน 6 ยอมรับว่าเคยรับสินบนและเกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชั่น ผู้ประกอบการบางรายต้องยอมจ่าย kickback fee ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ และตัวเลขล่าสุดสูงถึง 30% ของมูลค่าโครงการเพื่อให้ได้ดำเนินโครงการของภาครัฐได้
นายสุรินทร์ยังกล่าวถึงกลุ่มอาชีพหรือองค์กรที่มีความเกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชั่นสูงสุด 4 อันดับแรก ได้แก่พรรคการเมือง ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน และรัฐสภา ซึ่งจะเห็นว่าการคอร์รัปชั่นที่เกิดขึ้นในระบบพรรคการเมือง มาในรูปของการเรียกหรือรับสินบน และการเล่นพรรคเล่นพวกที่เกิดขึ้นในระบบอุปถัมภ์
ทั้งนี้ นายสุรินทร์ยังอ้างถึงผลสำรวจของ Global Corruption Barometer 2013 ว่า เมื่อเปรียบเทียบสถานการณ์การรับรู้การทุจริตคอร์รัปชั่นกับกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน ก็จะเห็นว่าประเทศไทยมีอัตราการทุจริตคอร์รัปชั่นที่สูงที่สุดในพรรคการเมืองและกลุ่มสื่อโดยผลการจัดลำดับ “ความไว้วางใจนักการเมือของประชาชน ปรากฏว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับรั้งท้ายที่สุดในอาเซียนเท่ากับประเทศกัมพูชา
“ยิ่งทำให้เป็นที่กังวลถึงความโปร่งใสในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร และกระบวนการตรวจสอบต่างๆ เพื่อลดหย่อนและปราบปรามคอร์รัปชั่น” นายสุรินทร์กล่าว
บทความของนายสุรินทร์ดังกล่าว ยังอ้างถึงผลการประเมินของ The Global Competitiveness Report 2013-2014 ที่ว่าการคอร์รัปชั่นในประเทศไทยที่กินวงกว้างและยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจน เป็นอุปสรรคอันดับ 1 ในสายตานักลงทุนต่างชาติที่จะตัดสินใจลงทุนและดำเนินธุรกิจในประเทศไทย และเป็นปัญหาสำคัญที่สุดต่อประเทศไทยเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจัยการตัดสินใจการลงทุนในประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในการลงทุนลดลง บั่นทอนขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ก่อให้เกิดความเสียโอกาสทางเศรษฐกิจและการพัฒนาอย่างใหญ่หลวง เห็นได้จากทั้งๆ ที่ไทยมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน แต่เงินลงทุนจากต่างประเทศกลับไหลเข้สู่สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย หรือเมียนมาร์มากกว่า
“มูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของอาเซียนในปี 2012 คือ 1.1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตจากปี 2007 ที่มี 8 หมื่นล้านเหรียญ กว่า 30% แต่สำหรับไทยกลับมีทิศทางตรงข้าม เพราะในปี 2012 มี 8 พันเหรียญสหรัฐ น้อยกว่าปี 2007 ที่มี 1.1 หมื่นเหรียญสหรัฐ หรือลดลงกว่า 24% ทำให้ไทยมีสัดส่วนการลงทุนโดยตรง จากอันดับ 2 รองจากสิงคโปร์ มาเป็นอับดัน 4 ตามหลังอินโดนีเซียและมาเลเซีย นับว่าไทยสูญเสียโอกาสไปราว 6 พันเหรียญสหรัฐ จากการลงทุนจากต่างประเทศในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา” นายสุรินทร์กล่าว
ประธานสถาบันออกแบบอนาคตประเทศไทย ยังเรียกร้องให้มีมาตรการและกฎหมายปราบปรามคอร์รัปชั่นอย่างจริงจังเข้มงวด เพราะการที่ผลโพลล์ระบุว่า คนไทยยอมรับการคอร์รัปชั่นได้ถ้าตัวเองได้ประโยชน์มีสูงถึง 65.8% โดยส่วนใหญ่คนที่ยอมรับได้คือกลุ่มเยาวชนและเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มนักเรียนและนักศึกษา ซึ่งจะเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงต่ออนาคตของประเทศชาติ