อธิบดีกรมป่าไม้ ชี้ป่าในไทยเหลือแค่ 30% มีแต่ทรง ไม่ทรุดไปกว่าเดิม
อธิบดีกรมป่าไม้ ลั่นจับจริงคนบุกรุกป่า ชี้ 'ชุมชน เอกชน ราชการ' ผนึกกำลังสร้างป่าชุมชน เชื่อทุกฝ่ายมีศักยภาพ หากรอรัฐบาลออกกฎหมายช่วย อีกนาน
30 กันยายน กรมป่าไม้ร่วมกับบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) จัดงานแถลงข่าว “ป่าชุมชน-โอกาสและความท้าทายการรักษาผืนป่าของประเทศ” ณ ห้องกรุงเทพ 2 ชั้น 2 โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว
นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวถึงภาพรวมของป่าในประเทศไทยขณะนี้อยู่ในลักษณะ"ทรง" คือไม่ทรุดโทรมไปมากกว่าเดิม แต่ก็ยังไม่ดีขึ้นมากนัก การบุกรุกป่ามีจำนวนน้อยลง แต่ยังคงมีการเข้าไปทำประโยชน์ในพื้นที่ป่า มีการเผาป่าเพื่อเอาพื้นที่ จึงขอประกาศว่า หากมีใครไปบุกรุกป่าเพื่อทำประโยชน์จะจับทั้งหมด และจะใช้มาตรการอย่างจริงจัง ฉะนั้นเชื่อว่า หากกรมป่าไม้เอาจริงจะทำให้ความต้องการในการบุกรุกป่าลดน้อยลง
"ต้องยอมรับว่า การบุกรุกป่าเป็นปัญหาสำคัญ ประกอบกับบุคคลากร และงบประมาณมีจำกัด ซึ่งเราไม่สามารถโทษใครได้ ดังนั้นเมื่อมีข้อจำกัดเราจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาแนวร่วม หรือหาสิ่งต่างๆมาสนับสนุนเพื่อให้งานสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น"
อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวว่า ในช่วงปีหลังที่ทรัพยากรถูกทำลายอย่างต่อเนื่องส่งผลให้เริ่มเกิดภัยธรรมชาติมากขึ้น จึงจำเป็นต้องเริ่มทำการฟื้นฟู มีการปลูกป่าเสริม แต่สิ่งที่พบว่า เป็นปัญหาอีกอย่างหนึ่งนั่นคือประชาชนยังไม่ได้เข้าสู่ขบวนการส่งเสริมและอนุรักษ์ เป็นเรื่องของส่วนราชการฝ่ายเดียวทำให้โครงการฟื้นฟูป่าไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ชุมชนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารจัดการป่าชุมชน หากหวังพึ่งพระราชบัญญัติต่างๆของรัฐที่จะออกมาเกี่ยวกับป่าไม้ก็ไม่แน่ใจว่า ต้องรออีกนานเท่าไร ดังนั้นทางกรมป่าไม้จึงเปิดให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้ามาร่วมในการบริหารจัดการ ร่วมปกป้องดูแลและฟื้นฟู
ทั้งนี้ นายบุญชอบ กล่าวถึงการจัดโครงการป่าชุมชนมานานกว่า 5 ปี ทำให้สภาพผืนป่ามีความอุดมสมบูรณ์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ป่าในประเทศไทยมีประมาณทั้งสิ้น 30%
ขณะที่นายพงษ์ดิษฐ พจนา กรรมการผู้จัดาการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทพร้อมส่งเสริมทุกชุมชนที่ยึดมั่นในอุดมการณ์รักษาป่าไม้ของประเทศให้เดินหน้าต่อไปอย่างเข้มแข็ง และช่วยกันขยายและจุดประกายความคิดให้คนในสังคมเห็นคุณค่าของป่าไม้และมีส่วนร่วมดูแลทรัพยากรป่าไม้ของชาติให้คงอยู่จากรุ่นสู่รุ่น โดยเชื่อว่าความร่วมมือระหว่างกรมป่าไม้และบริษัทรวมถึงชุมชน ภายใต้โครงการคนรักษ์ป่า ป่ารักชุมชน จะช่วยผลักดันให้การดูกแลป่าของชุมชนเข้มแข็งมากขึ้น ช่วยให้การบุกรุกทำลายป่าลดน้อยลง และผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ยังเป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะช่วยภาวะโลกร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านนายกมล แสงหงษ์ ผู้ใหญ่บ้านดงห้วยเย็น และกรรมการป่าชุมชนดงห้วยเย็น จ.ลำพูน ชุมชนที่ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประเทศในโครงการ ป่ารักชุมชน ประจำปี 2556 กล่าวว่า เดิมป่าในพื้นที่ดงห้วยเย็นเป็นป่าไม้ที่ถูกบุกรุกและทำลายจากการทำสัมปทานเหมืองแร่และการลักลอบตัดไม้ ส่งผลให้ป่าซึ่งเคยเป็นแหล่งน้ำของชุมชนเริ่มแห้งหายไป ดังนั้นชาวบ้านในชุมชนตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจึงได้จัดประชุมชาวบ้านต่อต้านนายทุนและหันกลับมาฟื้นฟูป่าในพื้นที่ให้กลับมาอุดมสมบูรณ์เช่นเดิม โดยสิ่งที่บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าแห่งนี้คือมีนกยูงมากเป็นอันดับ 2 รองจากห้วยขาแข้ง
สำหรับชุมชนที่ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประเทศในโครงการคนรักษ์ป่า ป่ารักชุมชน ประจำปี 2556 ได้แก่ ป่าชุมชนบ้านดงห้วยเย็น จังหวัดลำพูน ได้รับถ้วยรางวัลพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีและได้รับเงินกองทุนอนุรักษ์ป่าชุมชนจำนวน 200,000 บาท
รางวัลป่าชุมชนดีเด่น ด้านการจัดการป่าชุมชนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือหมู่ป่าชุมชนบ้านจุฬาภรณ์พัมฯ 12 จังหวัดนราธิวาส ได้รับโล่รางวัลเกียรติยศจากปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพร้อมเงินกองทุนอนุรักษ์ป่าชุมชนอีก 100,000 บาท
ส่วนรางวัลรองชนะเลิศระดับประเทศมีป่าชุมชนที่ได้รับรางวัลโล่เกียรติยศจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมเงินกองทุนอนุรักษ์ป่าชุมชมละ 100,000บาท มี 3 รางวัล คือ ป่าชุมชนบ้านวังศิลาดิเรกสาร จ.สุราษฎร์ธานี ป่าชุมชนบ้านโค้งตาบาง จ.เพชรบุรี และป่าชุมชนบ้านตาดรินทอง จ.ชัยภูมิ ทั้งนี้รางวัลป่าชุมชนดีเด่นระดับจังหวัด มีจำนวนทั้งสิ้น 64 รางวัล และรางวัลชมเชยจำนวน 63 รางวัล ทั้งสองรางวัลจะได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณจากอธิบดีกรมป่าไม้และเงินกองทุนอนุรักษ์ป่าชุมชนสำหรับป่าชุมชนดีเด่นจะได้รับ 25,000 บาท และรางวัลชมเชยจำนวน 10,000บาท