"สมเกียรติ"เปิดผลวิจัยร้อนๆ"สถานะไทย"สุดย่ำแย่ใต้ร่มเงา "รัฐบาลยิ่งลักษณ์"?
“เราไม่มีนักคิดอยู่ในรัฐบาลชุดนี้ เรามีแต่คนที่ได้โอกาสเข้ามารับตำแหน่ง ดังนั้นรัฐบาลชุดนี้จึงไม่มีบุคคลที่มีมาตรฐานที่น่าภูมิใจ หรือจริง ๆ คือน่าอับอาย อย่างสมาชิกผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ทุกพรรคที่เห็นก็ต่ำกว่ามาตรฐานซะเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะที่เห็นได้อย่างฉาบฉวยคือ พูดไม่เพราะ หยาบคาย ทั้ง พท. และ ปชป. พอกัน”
เมื่อเร็ว ๆ นี้ องค์การที่ประชุมเศรษฐกิจโลกว่าด้วยขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลก หรือ “World Economic Forum : The Global Competitiveness Report 2013 – 2014 (WEF-GCR 2013 – 2014) ซึ่งมีความยาวกว่า 551 หน้า ได้เผยแพร่ข้อมูลงานวิจัยสำคัญกว่า 12 เรื่อง ที่ถือว่าเป็นหัวใจหรือตัวแปรหลักในการวัดขีดความสามารถของประเทศต่าง ๆ ในโลก รวม 148 ประเทศ ซึ่งรวมไปถึงประเทศไทยและประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหมดด้วย
ทั้งนี้ งานวิจัยดังกล่าวถูก “ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล” อดีตผู้สื่อข่าวแถวหน้าของเมืองไทย และผันตัวมาเป็นนักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนในปัจจุบัน ย่อยรายละเอียดและนำมาเผยแพร่ข้อมูลเพื่อให้สังคมไทยทราบว่า “ประเทศไทยอยู่ตรงไหนในอาเซียน และในโลก”
“ประเทศไทยของเรากำลังตกต่ำ ทั้งในเวทีโลก และ ในภูมิภาคอาเซียน ประเทศไทยไม่อยู่ในสถานะที่จะแข่งขันกับประเทศต่าง ๆ ในโลกนี้ได้ ณ เวลานี้เรากำลังเป็นผู้อ่อนแอ ผู้แพ้ และจะเป็นเช่นนี้ต่อไปมากขึ้นเรื่อย ๆเพราะยังไม่มีความตื่นตัวจะแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นแต่อย่างใดจากรัฐบาลที่จริงเราควรตื่นตกใจมากกว่า เพราะเพียงตื่นตัวนั้นจะไม่พอ !”
ทำไม “ดร.สมเกียรติ” ถึงเขียนไว้เช่นนั้น สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org จะพาไปค้นหาคำตอบดังนี้
@ข้อมูลจากงานวิจัยชี้ว่าประเทศไทยตกต่ำอย่างมากทั้งในอาเซียน และในโลก
ต้องบอกก่อนว่า ประการแรก คนที่ทำวิจัยคือองค์กรที่น่าเชื่อถือระดับโลก คือ World Economic Forum (WEF) ซึ่งเป็นที่ประชุมของผู้นำของโลกด้านการเมือง เศรษฐกิจ เอกชน และประชาสังคม และกระบวนการวิจัยก็ใช้หลักวิชาการเต็มที่ แหล่งข้อมูลที่ค้นหาก็มาจากระดับสหประชาชาติ รวมไปถึงธนาคารโลก นอกจากนี้ยังประสานกับสถาบันวิจัยสำคัญในประเทศไทยคือ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีกด้วย
ประการที่สอง ข้อมูลที่ออกมาคือข้อมูลที่ชาวต่างชาติใช้กำหนดทัศนะต่อประเทศไทยทั้งด้านเศรษฐกิจ และการลงทุน นอกจากนี้ยังมีการสัมภาษณ์ผู้มีอิทธิพลทางความคิด เศรษฐกิจ และผู้บริหารระดับสูงในประเทศไทยเกือบ 200 คน จึงพบว่าประเทศไทยมีความตกต่ำหลายอย่าง
@งานวิจัยดังกล่าวครอบคลุมปีไหนบ้าง
ข้อมูลดังกล่าวจัดทำเมื่อสองปีก่อนคือปี 2012 – 2013 และรายงานนี้ก็ชื่อว่ารายงานว่าด้วยขีดความสามารถและแข่งขันระดับโลกในปี 2013 – 2014
ดังนั้น ข้อมูลนี้คือข้อมูลที่ดูจากรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งหมายถึงรัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
@หมายถึงรัฐบาลชุดปัจจุบันมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบ
ถ้าจะกล่าวโทษจริง ๆ ก็คือรัฐบาลชุดนี้ แต่ว่ารัฐบาลชุดก่อนอย่างรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) รวมไปถึงสังคมไทยที่ต่อเนื่องมาก็ต้องมีส่วนในการรับผิดชอบด้วยกันทั้งนั้น เพราะว่าอย่างระบบการศึกษาไทยตกต่ำในอาเซียนและโลก จะโทษรัฐบาลชุดนี้ฝ่ายเดียวไม่ได้ ต้องโทษในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ใครเป็นรัฐบาลก็รับผิดชอบเอาแล้วกัน ซึ่งที่ผลัดเปลี่ยนกันมาก็มีแค่ พรรคไทยรักไทย (ทรท.) พรรคพลังประชาชน (พปช.) พรรค ปชป. และพรรคเพื่อไทย (พท.) อย่างไรก็ตามผู้บริหารจัดการการศึกษา ซึ่งเป็นข้าราชการที่เกี่ยวข้องก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย จะโทษรัฐบาลฝ่ายเดียวก็ไม่ได้
“เรื่องการศึกษา ต้องแยกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มการศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งดูแลโดย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งถือว่าตกต่ำสุดขีดทั้งในอาเซียนและในโลก หรือการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ซึ่งข้อมูลยังอยู่ในระดับกลางลงต่ำของโลก นั่นไม่ดีเลย มันจะส่งผลให้เด็กรุ่นใหม่เข้าสู่หายนะ เข้าสู่ความพ่ายแพ้ในอนาคต”
@อย่างเรื่องการศึกษา คิดว่าต้นตอของปัญหาอยู่ที่อะไร
เกิดจากระบบบริหารจัดการตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน และเมื่อโทษระบบก็แสดงว่าผู้บริหารไม่รู้จักคิด หรือปฏิรูปกระบวนการศึกษา ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ แต่คนที่รับผิดชอบสูงสุดคือรัฐบาล หรือ รัฐมนตรี (รมต.) และข้าราชการที่เกี่ยวข้อง
ปัจจุบันจะเห็นได้ว่า ศธ. ถูกใช้เป็นเครื่องมือทำมาหากิน หรือเป็นที่ใช้อำนาจทางธุรกิจของ รมต. ทั้งนี้เพราะ ศธ. เป็นกระทรวงใหญ่ มีงบประมาณเยอะ แต่ รมต. ที่ดูแลกลับไม่มีความรู้ ความสามารถ หรือทัศนะมุ่งมั่นในการพัฒนาการศึกษาแต่อย่างใด ส่งผลให้ไม่คงที่ และนโยบายไม่ต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังเป็นนโยบายที่ไม่ดีอีกด้วย คือเป็นนโยบายที่ไม่คำนึงถึงขีดความสามารถการแข่งขันของเด็กไปสู่ระดับโลก ถ้าดูจากมาตรฐานสากล หรือมาตรฐานองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ Orgainsation for Economic Co-operation and Development (OECD) เด็กไทยอยู่ในระดับ 50 จาก 70 ประเทศ ซึ่งต่ำมาก
“เห็นชัดเจนเลยว่า รมต.ศธ. แทบทุกสมัยไม่มีพื้นเพของนักคิด นักปรัชญาการศึกษา ส่วนใหญ่เป็นนักการเมืองที่ย้ายมาชั่วคราว และเก็บกระเป๋าไปประจำกระทรวงอื่นที่มีอำนาจมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลชุดปัจจุบันมี รมต.ศธ. ถึง 4 คน และแต่ละคนก็คิดไม่เหมือนกัน อย่าว่าแต่รัฐบาลชุดนี้เลย รัฐบาลชุด ปชป. ก็เช่นกัน”
@ปัญหาดังกล่าว จะแก้ไขได้อย่างไร
มาตรฐาน OECD จะเน้นทักษะด้าน คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่าน 3 กลุ่มวิชานี้ แต่เด็กไทยวิชาพวกนี้อ่อนมาก แถมยังไปแยกเป็นสาย เช่น คณิต – วิทย์ หรือ คณิต – อังกฤษ ซึ่งมันทำให้เด็กไม่อยากไปเรียน คณิต – วิทย์ ให้วุ่นวาย แต่ความจริงคือทักษะด้าน คณิต – วิทย์ คือวิชาที่จะสร้างคนไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม สอนให้เป็นผู้มีเหตุผล แต่เพราะ 3 กลุ่มวิชาข้างต้นไม่ถูกเน้นอย่างจริงจัง ไทยจึงตกต่ำ
ยิ่งทักษะการอ่าน ไทยก็ไม่มี ไม่มีวิชานี้ อาจจะมีวิชาภาษาไทย แต่ก็อิเหละเขะขะไปทั่ว ทักษะการอ่านจึงไม่มี และคนไทยที่ด้อยความรู้ภาษาต่างประเทศ หรือภาษาอังกฤษโดยเฉพาะเนี่ย จำเป็นต้องมีวิชาที่ 4 เข้ามาคือ ทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ แต่ 4 กลุ่มวิชาเหล่านี้กลับไม่ถูกเน้นในโรงเรียนเลย
“เร็ว ๆ นี้ ศธ. บอกว่าจะเปิดโครงการใหม่ มหกรรมการศึกษาเพื่อเข้าสู่วิชาชีพ อยากบอกว่าวิชาชีพไม่ใช่ไม่สำคัญ แต่กว่าจะเป็นได้ต้องมีทักษะ 4 วิชาข้างต้นก่อน ไม่ใช่อยู่ ๆ จะไปเรียนได้เลย ไม่งั้นก็จะกลายเป็นแค่คนไปผลิตหรือซ่อมของเพียงอย่างเดียว ดังนั้นเด็กไทยที่สังกัดใน สพฐ. ขณะนี้ จบออกไปแล้วจะแข่งกับใครไม่ได้ และถ้าจะแก้ปัญหาก็ต้องใช้เวลาอีก 12 ปี”
@ใช้เวลายาวนานขนาดนั้นเชียวหรือ ในการปฏิรูปโครงสร้างการศึกษา
ถูกต้อง ถ้าจะแก้คุณต้องวางนโยบายใหม่ ไม่มีอะไรซับซ้อน ที่ผมพูดนี่ไม่ได้หมายความว่าผมเป็นผู้วิเศษทางการศึกษา แต่จากการค้นหาข้อมูลทั่วโลก เขาเน้น คณิต – วิทย์ – การอ่าน และอังกฤษ ซึ่ง 4 กลุ่มวิชานี้ต้องแรง และต้องเริ่มตั้งแต่ ป.1 ส่วนวิชาอาเซียนหน่ะหมู ๆ แต่วิชาพื้นฐานเพื่อการแข่งขันในโลกเขาใช้ 3 วิชานี้ บวกกับวิชาภาษาอังกฤษ
“ส่วนสาเหตุที่ต้องใช้เวลา 12 ปี เพราะถ้าเรารื้อระบบ สมมติว่า รื้อได้ทันทีในรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งไม่มีวี่แววที่จะรื้อ ไม่เห็นเขาพูดอะไรเลย รัฐบาลชุดนี้เงียบเป็นเป่าสาก มีแต่ให้ เลขา สพฐ. ไปตรวจข้อมูลดูว่า WEF รายงานว่าอย่างไร และ คุณจาตุรนต์ รมต.ศธ. ก็พูดแต่เรื่องปลีกย่อย ดังนั้นถ้าจะปฏิรูปจริงต้องมีการนั่งประชุมสัมนากัน อาจประมาณ ครึ่ง – 1 ปี และต้องไปรื้อฟื้นเรื่องการศึกษาภายใน 1 ปี ทำแผนหรือพิมพ์เขียวออกมาให้ได้ เริ่มใช้ตั้งแต่ ป.1 – ม.6 ก็ประมาณ 14 ปี เพราะว่าเราต้องมาสร้างเด็กใหม่ แต่ถ้าคนที่อยู่ในมหาวิทยาลัยหรือโรงเรียน จะต้องปรับทันที แผนนี้ถ้ารัฐบาลชุดนี้ทำเสร็จคือ 6 ปีแรกให้เด็ก ม.6 ใช้ได้ ส่วน ป.1 ก็ต้อง 12 ปี”
@ขณะที่ความน่าเชื่อถือของสาธารณชนต่อนักการเมืองรั้งท้ายสุดในอาเซียน คิดว่าสะท้อนอะไร
ถ้าดูตามผลวิจัยจะเห็นว่ามันเกี่ยวเนื่องกันหมด เช่น จากกลุ่มประเทศ 148 ประเทศ ความน่าเชื่อถือของนักการเมืองในทัศนะของสาธารณชน เราอยู่อันดับ 127 ซึ่งถือว่าต่ำมาก ไม่ต้องพูดว่าอะไรเป็นข้ออ้าง เพราะนักการเมืองเรามีคุณภาพต่ำ และในกลุ่มประเทศอาเซียนเหนือกว่าเราทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังมีเรื่องความโปร่งใสในการทำงานของรัฐบาล อยู่อันดับที่ 93 ของโลก และอันดับที่ 6 ในอาเซียน การติดสินบนประเทศไทย อันดับที่ 77 ของโลกและที่ 4 ในอาเซียน ซึ่งไม่เลวนัก แต่ก็เลวพอสมควร
การใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลในทางที่เบียงเบน หมายถึงใช้เงินไม่ได้ผลประโยชน์ เราอยู่อันดับที่ 101 ของโลก อันดับที่ 9 ของอาเซียน การเล่นพรรคพวกของเจ้าหน้าที่รัฐ อยู่อันดับที่ 93 ของโลก และที่ 9 ของอาเซียน การได้เงินงบแบบสูญเปล่า เช่น จัดประชุม สัมนา จัดอีเวนต์ต่าง ๆ เราครองอันดับบ๊วยสุดของอาเซียน และอันดับ 107 ของโลก
“สรุปคือ นักการเมืองไทยในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมี พท. เป็นรัฐบาล จากข้อมูลจะเห็นได้ชัดเจน รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้มีมาตรฐานในการคัดเลือกคนเข้าสู่ตำแหน่ง และ รมต. ก็ไม่มีคุณภาพ ไม่ได้มาด้วยความรู้และประสบการณ์ เห็นได้จาก คุณยิ่งลักษณ์ ซึ่งไม่มีคุณภาพ และไม่มีประสบการณ์ด้านการเมืองแม้แต่น้อย”
@หมายถึงนักการเมืองไม่มีคุณภาพมากเพียงพอ
ทั้งนายกรัฐมนตรี และ รมต. ไม่ได้ถูกกรอง หรือไม่มีมาตรฐานควบคุมนักการเมือง (Quality Control) ยกตัวอย่าง เช่น รมต.ต่างประเทศ คุณสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ซึ่งไม่มีคุณสมบัติอะไรเลย ไม่มีประสบการณ์ด้านการต่างประเทศ ไม่เคยเป็นผู้นำคณะรัฐบาลไทยไปแลกเปลี่ยนความเห็นกับต่างประเทศ ไม่เคยเป็น รมช.ต่างประเทศ พอขึ้นมาเป็น รมต. ก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ถ้าพูดไม่ได้นอกจากไม่ควรเป็น รมต.ต่างประเทศ แล้วก็ไม่ควรเป็น รมต. ใด ๆ ทั้งสิ้น ในเมื่อผู้นำพูดอังกฤษยังไม่ได้ แล้วมาบังคับให้นักเรียนผู้ภาษาอังกฤษ บอกว่าจะเข้าอาเซียนให้ทุกคนใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างไร
กระทรวงสำคัญอย่าง ศธ. ที่คุณจาตุรนต์เคยเป็นมาแล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้มาเป็นอีกรอบ แต่ก็ไม่เคยเห็นผลงานคิด งานเขียน หรืองานวิเคราะห์วิจารณ์โครงสร้างการศึกษาของประเทศ คิดง่าย ๆ เรามี รมต. คนไหนบ้างที่เคยเขียนหนังสือแสดงความคิดความเห็นตัวเองต่อบ้านเมือง โดยเฉพาะในสาขางานที่ตัวเองเป็น อย่างคุณสุรพงษ์ ไม่เคยเขียนเรื่องโลก คุณยิ่งลักษณ์ ไม่เคยมีปรัชญาทางการเมือง ไม่เคยพูดถึง คาร์ล มาร์กซ์ เพลโต โสเครติส หรือโรนัลด์ เรแกน ไม่เคยรู้จัก ซูกาโน่ เป็นอย่างไร ไม่เคยแสดงความเห็นถึงการสร้างประเทศ หรือ Vision ของประเทศว่าเป็นอย่างไร
“เราไม่มีนักคิดอยู่ในรัฐบาลชุดนี้ เรามีแต่คนที่ได้โอกาสเข้ามารับตำแหน่ง ดังนั้นรัฐบาลชุดนี้จึงไม่มีบุคคลที่มีมาตรฐานที่น่าภูมิใจ หรือจริง ๆ คือน่าอับอาย อย่างสมาชิกผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ทุกพรรคที่เห็นก็ต่ำกว่ามาตรฐานซะเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะที่เห็นได้อย่างฉาบฉวยคือ พูดไม่เพราะ หยาบคาย ทั้ง พท. และ ปชป. พอกัน”
การกระทำดังกล่าวยิ่งทำให้ประชานไม่มีมาตรฐานในการเลือก จึงเป็นหน้าที่ของ พท. และ ปชป. สองพรรคใหญ่ รวมถึงพรรคอื่นด้วย จะต้องมีกระบวนการคัดสรรคนเข้าสู่บัญชีรายชื่อ ส.ส. และจะต้องมีมาตรฐานควบคุมนักการเมือง ซึ่งจะต้องมีแบบฟอร์มออกมาเลย เกณฑ์การเป็น รมต. ต้องผ่านอะไรมาบ้าง
@แสดงว่าควรเลิกเล่นการเมืองแบบเสื้อสี แล้วหันมาปฏิบรูปพรรคการเมือง
คือคุณจะเล่นการเมืองในสภา นอกสภาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่คุณจะต้องมีคุณภาพในการทำกิจกรรมเหล่านั้น เช่น ในสภาต้องสุภาพเรียบร้อยตามระเบียบการประชุม แพ้เป็นแพ้ ชนะเป็นชนะ ส่วนนอกสภาจะต้องมีสถานที่ที่เหมาะสม ต้องพูด แสดงความเห็นไม่หยาบคาย ไม่ปลุกระดม พูดง่าย ๆ ต้องมีคุณภาพ ไม่ใช่เกะกะระราน
ดังนั้นต้องเริ่มใหม่ คือ คัดเลือกนักการเมืองทุกระดับให้อยู่ในมาตรฐานของผู้ประกอบวิชาชีพนักการเมือง ตั้งแต่ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ไล่ไปจนถึงระดับ รมต. ซึ่งตรงนี้พรรคการเมืองต้องรับผิดชอบ ถ้าพรรคการเมืองไม่คัดคน ประเทศก็เสียหาย เพราะประชาชนเขาก็เลือกไปงั้น ๆ เพราะไม่รู้ว่าใครจะเป็น รมต. เขาเลือกเพราะสีสันในท้องถิ่นมากกว่า ดังนั้นควรคัดเลือกสมาชิกพรรคให้ดีที่สุดก่อน ไม่ต้องคำนึงว่าใครดังหรือไม่ดัง เน้นคุณภาพคนเป็นหลัก
@คือทุกพรรคต้องปฏิรูปโครงสร้างใหม่ทั้งหมด
ใช่ ไม่ต้องเน้นสีสันส่วนตัว เพราะถ้าได้คนคุณภาพพรรคก็มีคุณภาพ และจะจัดการเลือกตั้งได้อย่างมีคุณภาพ อันนี้อาจต้องใช้เวลา เพราะพรรคการเมืองเราไม่คุ้นเคย ยกตัวอย่าง ผมไม่คุ้นเคยกับ พท. โดยตรง แต่เห็นภาพที่ปรากฎในที่สาธารณะแล้วยังถือว่าใช้ไม่ได้ ด้าน ปชป. อาจคุ้นเคยบ้าง แต่เขาก็บอกว่าถ้าเลือกตั้งแล้วไม่เอาคนที่หวือหวา มีสีสัน หรือคนช่างพูด ก็กลัวจะเสียคะแนน ซึ่งเป็นวิธีคิดแบบทุกพรรค
“ถ้าต้องการให้ยกชาวบ้านให้มีระดับความคิดสูงขึ้น พรรคการเมืองต้องส่งคนที่มีคุณภาพเข้าไป”
@แล้วในด้านคอร์รัปชั่น จะทำอย่างไรให้เกิดกระบวนการตรวจสอบที่เข้มแข็งมากกว่าปัจจุบัน
พูดรวม ๆ คือ ปัญหาคอร์รัปชั่นเนี่ย มีการค้นหาการทุจริตคดโกงกันเป็นประจำ ซึ่งองค์กรตรวจสอบอย่าง ป.ป.ช. ได้ทำหน้าที่เท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้ยังมีกระบวนการตรวจสอบโดยสังคม แต่สมมติว่านักการเมืองไทยมีแต่คนคุณภาพ ปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ยกตัวอย่าง สิงคโปร์ เป็นประเทศโปร่งใสอันดับต้น ๆ ของโลก คือเขาถือเป็นระเบียบวินัยเลย ถ้าผู้นำทางการเมืองเข้าสู่ตำแหน่งแล้วโกง จะต้องถูกลงโทษสถานหนัก ส่วนจีน นี่คือประหารชีวิตเลย ดังนั้นการลงโทษต้องรุนแรงกว่านี้ และอีกทางหนึ่งคือสังคมต้องปฏิเสธด้วย
“สังคมไทยวางเฉยกับเรื่องทุจริตคดโกง ดังที่เห็นได้ว่ามีอดีตนายกฯคนหนึ่งที่โกงอย่างเห็นได้ชัด แต่รัฐบาลกลับร่วมมือด้วย และประชาชนภาคธุรกิจยังส่งนักร้องไปร้องเพลงหน้าตาเฉย อันนี้แสดงว่าสังคมไม่ได้ยี่หระต่อคนโกงเลย และพร้อมที่จะร่วมโกงด้วย”
ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป แล้วประชาชนทนไม่ไหว อาจจัดการกันเอง เพราะว่าโลกที่เคยปฏิวัติประชาชนแบบมาร์กซิสต์ หมดไปตั้งแต่ยุค 90 แล้ว ตั้งแต่โซเวียตล่มสลาย ดังนั้นถ้าประชาชนต้องการล้มรัฐบาล อาจไม่ใช่พวกซ้ายอย่าเดิม แต่เป็นพวกความคิดกลุ่มใหม่ ในทัศนะผม คิดว่าเมื่อถึงจุดหนึ่ง พท. และ ปชป. ไม่ตอบสนอง มันจะต้องมีพรรคที่สามเหมือน พรรคลิเบอรัลเดโมแคร็ตในอังกฤษ และผมยังคิดเพ้อฝันไปอีกว่าจะต้องมีพรรคการเมืองทางเลือกที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง
“เราเคยมีอารมณ์แบบนี้ครั้งหนึ่ง สมัยพรรคพลังธรรมเกิดขึ้นมา มีการแข่งหาเสียงผู้ว่าฯ กทม. คือ พล.ต.จำลอง ซึ่งมันมีอารมณ์คล้าย ๆ กัน แต่ว่าก็ผิดหวัง เพราะ พล.ต.จำลอง ไม่มีเนื้อหา มีแต่รูปแบบ จึงไม่มีคอนเซ็ปต์ ไม่มีปรัชญาทางการเมือง”
@แสดงว่าคนรุ่นใหม่เริ่มตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้แล้ว
ก็เห็นคนรุ่นใหม่เริ่มคิดมากขึ้น มีกลุ่มหน้ากากขาว หน้ากากวี อะไรพวกนี้ ผมก็คิดว่า เฮ้ย นี่มันคนรุ่นใหม่หรือเปล่า น่าจะใช่นะ เพราะว่าการเอาคำว่า วี ฟอร์ เวนเด็ตต้า (V for Vendetta) และเอาหน้ากากกายฟอว์กซ์ (Guy Fawkes) มาใช้ แสดงว่ามีความคิดและเลียนแบบตะวันตก ซึ่งคนรุ่นเก่าอย่างผมก็พอรู้จัก แต่ผมคิดว่า มันจะมีการจุดประกายเกิดขึ้นแล้วว่านัดคิดรุ่นใหม่ ไม่ใช่แค่พวกเด็กเล่นเฮฮา ฟุ้งเฟ้อ แต่รวมไปถึงพวกกลุ่มวัยทำงานอีกด้วย และเวลาผมเจอพวกนี้เขาก็จะบ่นถึงปัญหาเหล่านี้ให้ผมฟังตลอด
“ผมคิดว่าอารมณ์แบบนี้มันเกิดเยอะขึ้น เท่าที่คุยกับคนทำวิจัยด้านประชาสัมพันธ์ของบริษัทเอเยนซี่แห่งหนึ่ง เขาก็มีส่วนวิจัยให้กับโครงการออกแบบพิมพ์เขียวประเทศไทยของ ปชป. ซึ่งพบว่า บริษัทนี้มีคนไทยประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ ที่อึดอัดกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ไม่เห็นด้วยกับ พท. แต่ก็ไม่เอา ปชป. เหมือนกัน ซึ่งถ้า ปชป. ปฏิรูปพรรคได้ ก็อาจได้รับคะแนนส่วนนี้ แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย แล้ว 2 – 3 ปีข้างหน้ามันจะไปทางไหนกัน และพรรคทางเลือกใหม่อาจจะเกิดขึ้นในช่วง 4 – 8 ปีข้างหน้าก็ได้”
@จะทำอย่างไรให้ภาครัฐกับประชาชนส่วนใหญ่ตื่นตัวในจุดนี้
ข้อมูลงานวิจัยดังกล่าวต้องนำมารายงานให้ครบถ้วน นี่ก็เกือบเดือนแล้วที่มีผลวิจัยออกมา แต่สื่อมวลชนกลับรายงานแค่การศึกษาไทยรั้งท้ายอาเซียน และรายงานอยู่แค่เรื่องนี้ ทั้งที่พอเราอ่านเอกสาร 500 กว่า พบว่ามีตั้ง 10 กว่าประเด็นใหญ่ และแต่ละประเด็นย่อยออกมาได้อีก 7 – 8 ประเด็นด้วยซ้ำ
“ที่จะแนะนำคือ หากสื่อมวลชนมีเวลามากพอ และไม่รีบร้อน อยากให้เอาผลวิจัยนี้มาย่อยและเลือกไฮไลต์ และนำเสนอปรับให้เข้าสู่ความสนใจของคนไทย ดังนั้นผลวิจัยดังกล่าวสื่อต้องนำมาเสนอให้ละเอียด”
(อ่านรายละเอียดในบทวิจัย ที่ี “ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล” ในคอลัมน์ บันทึกอาเซียน ทางdailynews ตอนที่ 1 http://www.dailynews.co.th/article/825/233921, ตอนที่ 2 http://www.dailynews.co.th/article/825/235618 และผลวิจัยฉบับเต็มที่ http://www3.weforum.org/docs/WEF_GlobalCompetitivenessReport_2013-14.pdf)