หนังสือจาก คกก.สิทธิด้านชนชาติฯถึงนายกฯ “ค้านส่งกลับผู้ลี้ภัยพม่า”
วันที่ 13 มิ.ย.54 คณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และ ผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และสำเนาถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และเลขาธิการสภาความมั่นคง เรื่อง “การกลับคืนสู่ถิ่นฐานด้วยความสมัครใจของผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงเพื่อลี้ภัยชาวพม่า”
หนังสือดังกล่าว ระบุว่า กรณีที่รัฐบาลกำลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการส่งผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงเพื่อลี้ภัยชาวพม่ากลับคืนสู่ถิ่นฐานเดิมในสหภาพพม่า ซึ่งปัจจุบันปกครองโดยรัฐบาลชุดใหม่ตามรัฐธรรมนูญของประเทศพม่า
ทั้งนี้ตามหลักการสิทธิมนุษยชนสากลเรื่องผู้ลี้ภัย โดยเฉพาะการกลับคืนสู่ถิ่นฐานเดิม กำหนดให้ประเทศผู้รับต้องเคารพสิทธิมนุษยชนของผู้ลี้ภัย และสนับสนุนให้สามารถเดินทางกลับสู่ประเทศของตนได้อย่างเสรี ด้วยความสมัครใจ ปลอดภัย และมีศักดิ์ศรี เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ได้รับการคุ้มครองไว้ในกติกาและอนุสัญญาระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคีที่ต้องปฏิบัติตาม กล่าวคือกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี
แม้ในเวลานี้สหภาพพม่าจะมีรัฐบาลที่ก่อตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ แต่การต่อสู้กันระหว่างกองกำลังทหารพม่าและกองกำลังของชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดนยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งไม่มีหลักฐานสนับสนุนใดๆที่จะทำให้มั่นใจได้ว่ารัฐบาลพม่าจะไม่คุกคามสิทธิ เสรีภาพ และความเป็นอยู่ของกลุ่มผู้ลี้ภัยเมื่อเดินทางกลับประเทศ
เช่นนี้ อาจทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในสถานะที่ล่อแหลมต่อการฝ่าฝืนกติกาและอนุสัญญาระหว่างประเทศข้างต้นหากเกิดเหตุรุนแรงต่อผู้ลี้ภัยในภายหลัง เนื่องจากที่ผ่านมา มีหลักฐานปรากฏอยู่บ่อยครั้งว่า แม้รัฐบาลพม่าจะรับรองความปลอดภัยให้กับผู้ลี้ภัยที่ถูกส่งกลับถิ่นฐานในประเทศแล้ว หากแต่ความปลอดภัยกลับมิได้เกิดขึ้นจริง เป็นเหตุให้ผู้ลี้ภัยเดินทางกลับมายังประเทศไทยซ้ำอีก และก่อให้เกิดปัญหาอื่นๆที่ซับซ้อนและยากต่อการแก้ไขตามมา
ดังนั้นคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติฯ จึงขอเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน อันจะนำความสงบ ความมั่นคง และภาพลักษณ์อันดีมาสู่ประเทศไทย โดยสรุปดังนี้
1.ประเทศไทย ในฐานะประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ยึดหลักการเคารพและคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์มาโดยตลอด ดังนั้น ในประเด็นผู้ลี้ภัย รัฐบาลจึงจำต้องดำเนินการให้เป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ โดยควรเร่งปฏิรูปงานด้านผู้ลี้ภัยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วยการสนับสนุนและส่งเสริมสิทธิในชีวิต ร่างกาย และสิทธิที่จะไม่ถูกปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรม รวมถึงสิทธิเฉพาะด้านของกลุ่มผู้ลี้ภัยที่มีความเปราะบาง เช่น เด็ก สตรี คนพิการ และคนชรา
2.ก่อนจะดำเนินการส่งผู้ลี้ภัยกลับคืนสู่ถิ่นฐานเดิม รัฐบาลไทยควรต้องสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยให้แก่กลุ่มผู้ลี้ภัย โดยแสดงให้เห็นว่า การกลับภูมิลำเนามีความปลอดภัยเพียงพอ ไม่ว่า
จะเป็นความปลอดภัยทางร่างกาย ทางกฎหมาย และทางวัตถุทรัพย์สิน หมายรวมถึงจะต้องไม่มีการกระทำ
ที่ละเมิดต่อสิทธิมนุษยชนจากฝ่ายใดๆ อันกระทบต่อศักดิ์ศรีความมนุษย์ของผู้ลี้ภัย ซึ่งการจะสร้าง
ความมั่นใจดังกล่าวให้เกิดขึ้นได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยกลไกการต่อรองที่มีระหว่างกัน เพื่อ
2.1 เรียกร้องและกดดันให้รัฐบาลพม่า เคารพและไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนของชนกลุ่มน้อยและประชาชน จัดทำมาตรการคุ้มครองดูแลสิทธิ ความต้องการ และสวัสดิการต่างๆสำหรับกลุ่มที่มีความเปราะบาง พร้อมทั้งให้ฟื้นฟูกลไกในการรักษากฎหมาย การอำนวยความยุติธรรม
และการมีส่วนร่วมขององค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆ
2.2 ลงนามในสัญญาพหุภาคีระหว่างรัฐบาลไทย รัฐบาลพม่า และสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ว่าด้วยการรับรองสิทธิอันเนื่องมาจากการกลับคืนสู่ถิ่นฐาน
ของผู้ลี้ภัย ซึ่งต้องมีเนื้อหาให้รัฐบาลพม่าเคารพและยอมรับสิทธิในการเดินทางกลับภูมิลำเนาโดยไม่มีข้อแม้ พร้อมทั้งยกเลิก หรืออย่างน้อยที่สุด ยกเว้นข้อจำกัดต่างๆทางกฎหมายและทางบริหารเรื่องการเดินทาง
ของผู้ลี้ภัย และต้องออกกฎหมายคุ้มครองและคืนสิทธิที่ชอบธรรมให้แก่ผู้ลี้ภัย เช่น สิทธิและสถานะพลเมือง การอภัยโทษ และการจดทะเบียนราษฎร
2.3 ส่งเสริมให้รัฐบาลพม่าสร้างมาตรการและกลไกเยียวยาการเหยื่อ
ของการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งรวมถึงการเปิดโอกาสให้มีองค์กรหรือหน่วยงานอิสระเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อให้การดำเนินการมีมาตรฐานและเป็นธรรม
3. เพื่อลดภาระทั้งด้านงบประมาณและการจัดสรรทรัพยากรบุคคลของภาครัฐในการดูแล
ผู้ลี้ภัย และเพื่อให้การแก้ปัญหาผู้ลี้ภัยมีความเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น รัฐบาลไทยควรพิจารณาความเป็นไปได้
ในการเข้าเป็นภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสถานะผู้ลี้ภัย (Convention on the Status of Refugee) ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ประชาคมโลกได้เข้ามามีส่วนช่วยเหลือทั้งทางด้านการกำหนดนโยบาย การปฏิบัติงาน
และด้านงบประมาณ ตามที่รับรองไว้ในอนุสัญญาฯ
ในการนี้ คณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติฯ เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า การดำเนินการตามข้อเสนอดังกล่าวข้างต้น ย่อมนำมาซึ่งความสมัครใจของผู้ลี้ภัยที่จะเดินทางกลับภูมิลำเนาของตน ทั้งยังเอื้อต่อการจัดการส่งบุคคลเหล่านี้กลับคืนสู่ถิ่นฐานโดยสงบ นอกจากนั้น ยังเป็นการส่งเสริมภาพพจน์ที่ดีของประเทศไทยในการวางรากฐานสิทธิมนุษยชนให้เกิดขึ้นทั้งในประเทศของตนและประเทศเพื่อนบ้าน
ได้อย่างยั่งยืน .
ที่มาภาพ : http://m.thairath.co.th/TRMobileSite/[email protected]?id=132005