จะคลี่คลายปัญหาการชุมนุมของชาวสวนยางได้อย่างไร
กรณีการชุมนุมของชาวสวนยางและสวนปาล์มที่ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ในปัจจุบัน ที่หลายฝ่ายเกรงว่าจะนำไปสู่เหตุการณ์ความรุนแรง และจะกลายเป็นบาดแผลสำคัญของประเทศอีกครั้งหนึ่งนั้น ผมเห็นว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรจะต้องปรับความคิดและสร้างแนวทางในการแก้ปัญหาร่วมกันดังนี้
1. สถานการณ์ที่ชาวสวนยางและสวนปาล์มชุมนุมปิดถนนนั้น ถือว่าเป็นสิทธิที่ประชาชนผู้เดือดร้อนจากการดำเนินนโยบายของรัฐสามารถกระทำได้ ซึ่งรัฐธรรมนูญในประเทศประชาธิปไตยทั้งหลายก็จะรับรองสิทธินี้ไว้เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญของไทย แม้การปิดถนนอาจสร้างความเดือดร้อนให้แก่คนกลุ่มอื่นและอาจถูกนำไปอ้างว่ากระทำผิดกฎหมาย แต่ว่าในทางสากลก็ยอมรับปฏิบัติการเช่นนี้ โดยเฉพาะในประเทศที่ประชาชนยังคงมีความเหลื่อมล้ำกันมาก และยังขาดกลไกที่จะสร้างและรักษาความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนผู้ด้อยอำนาจ เพราะเป็นวิธีการที่จะทำให้รัฐบาลหันมารับฟังเสียงของผู้ด้อยอำนาจ
การเรียกร้องให้ชาวสวนยางหยุดปิดถนนและไปชุมนุมในพื้นที่ที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครนั้น จึงเป็นข้อเรียกร้องที่ไม่มีทางเป็นไปได้ และเท่ากับสังคมไม่สนใจใยดีต่อความทุกข์ยากของคนเล็กคนน้อยที่ไม่มีอำนาจต่อรอง ไม่เปิดโอกาสให้พวกเขามีช่องทางต่อรองที่มีประสิทธิภาพเลย
สิ่งที่ผู้เดือดร้อนจากการปิดถนนควรจะกระทำก็คือ การเรียกร้องและกดดันรัฐบาลให้มาเจรจากับผู้ชุมนุมประท้วง เพราะหลักการของการยึดพื้นที่สาธารณูปโภคที่กระทบต่อประชาชนในวงกว้างก็เพื่อกดดันให้รัฐบาลรีบมาเจรจา รัฐบาลที่คำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนทั้งกลุ่มที่กำลังชุมนุมอยู่และกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมจึงต้องรีบมาเจรจากับผู้ประท้วงเพื่อหาทางแก้ปัญหา และไม่จำเป็นต้องมีข้ออ้างว่าจะมีผู้เลียนแบบไปทำตาม เพราะการชุมนุมของประชาชนผู้เดือดร้อนไม่ใช่กระทำได้โดยง่าย หากไม่ใช่ทุกข์ร้อนที่หนักหนาแล้วชาวบ้านคงไม่ยอมเสียเวลา ยอมเหน็ดเหนื่อยมาประท้วงแบบยืดเยื้อเช่นนี้ ซึ่งก็จะเห็นได้ว่าชาวสวนยางไม่เคยชุมนุมใหญ่แบบนี้มาก่อน และก่อนจะมีการชุมนุมดังกล่าวพวกเขาก็ใช้วิธีร้องเรียนรัฐบาลให้ช่วยเหลือมาอย่างยาวนานแล้ว แต่ไม่ได้รับความสนใจ
2. การที่ชาวสวนยางและสวนปาล์มเดือดร้อนก็เพราะเป็นผลมาจากนโยบายของรัฐบาลที่พยายามกระตุ้นให้ปลูกพืชประเภทนี้ โดยที่รัฐบาลไม่เคยมีแผนการหรือให้ข้อมูลต่อเกษตรกรเลยว่าในระยะยาวความต้องการยางและปาล์มจะเป็นอย่างไร รัฐบาลยังคงกระตุ้นหรือสนับสนุนตลาดให้กระตุ้นเกษตรกรขยายการปลูกพืชประเภทนี้ตลอดเวลา ดังจะเห็นถึงการขยายตัวของการปลูกยางไปสู่ทุกภาค
นอกจากนี้ผลประโยชน์ที่เกิดจากความต้องการยางของตลาดโลกที่ผ่านมาช่วยให้รัฐบาลได้ประโยชน์ด้านภาษีจากการผลิตและการค้าขายยางในจำนวนที่สูงตลอดมา อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลมุ่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการกระตุ้นให้ประชาชนนำเงินที่มีอยู่มาใช้ในการบริโภค ซึ่งชาวสวนยางและสวนปาล์มก็ตกอยู่ภายใต้แนวทางเช่นนี้ คือนำเงินที่ขายยางและปาล์มมาใช้ในการอุปโภคและบริโภคเป็นส่วนใหญ่ โดยไม่ได้ออมเงินหรือใช้ในการสะสมทุนเพื่อการผลิต ซึ่งเท่ากับว่าชาวสวนยางมีส่วนช่วยรัฐบาลพยุงเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศมาโดยตลอด แต่เมื่อชาวสวนยางและสวนปาล์มประสบวิกฤติด้านราคา รัฐบาลกลับโยนภาระให้ชาวสวนยางและสวนปาล์มรับผิดชอบเอาเอง โดยอ้างถึงกลไกของตลาด
ประเด็นก็คือหากรัฐบาลปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกตลาดโดยไม่เข้าไปแทรกแซงเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่กลุ่มคนที่มีอำนาจต่อรองน้อย ก็คงไม่จำเป็นต้องมีรัฐบาล ดังนั้นรัฐบาลจะต้องมองปัญหาราคายางพาราและปาล์มและการประท้วงของเกษตรกรแบบมีประวัติศาสตร์และมองเห็นถึงคุณูปการที่คนกลุ่มนี้มีต่อประเทศชาติตลอดมา
3. รัฐบาลพึงตระหนักว่าสาระสำคัญของการมีรัฐบาลนั้นคือ "การบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ประชาชน" การประเมินประสิทธิภาพของรัฐบาลก็พิจารณาจากเรื่องนี้ และต้องพึงตระหนักอย่างจริงจังว่าประเทศไม่ใช่บริษัทส่วนตัวของใคร หากไม่สามารถบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ประชาชนได้ก็ควรจะต้องพ้นจากการเป็นรัฐบาล ซึ่งสำหรับประเทศไทยหลักการนี้ได้ถูกทำลายมาโดยตลอด มีผลทำให้ประเทศเป็นคล้ายสมบัติส่วนตัวของกลุ่มบุคคลที่เรียกว่ารัฐบาล เพราะคนกลุ่มนี้ไม่เพียงไม่สนใจแก้ปัญหาให้ประชาชนเท่านั้น แต่ยังตั้งธงไว้ตั้งแต่ต้นว่าถ้าใครไม่ฟังรัฐบาลก็จะปราบปราม พร้อมทั้งพยายามสร้างภาพประชาชนที่ประสบปัญหาและขอให้รัฐบาลช่วยแก้ปัญหาดังกรณีการชุมนุมประท้วงของชาวสวนยางและสวนปาล์มว่าเป็นผู้ร้าย และสมควรจะถูกปราบปราม
ไม่เพียงเท่านั้นยังพยายามทำให้ประชาชนกลุ่มอื่นๆ เข้าใจผิดเกษตรกรที่ชุมนุมประท้วงและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากัน การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงเป็นรัฐบาลที่ไม่ทำหน้าที่ของตนเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นรัฐบาลที่มองไม่เห็นประชาชนของตนด้วย และทำให้ประเทศไทยเป็นบริษัทส่วนตัวที่คนอื่นจะเข้ามายุงเกี่ยวไม่ได้ การคิดและทำเช่นนี้จึงเป็นการนำประเทศไปสู่จุดอับ คือไม่มีทางออกให้แก่ประเทศ ในที่สุดก็นำไปสู่การเผชิญหน้ากัน และตามมาด้วยการใช้ความรุนแรง การเมืองการปกครองของไทยจึงไม่มีโอกาสที่จะนำพาประเทศไปสู่ความเข้มแข็งในลักษณะที่คนทุกกลุ่มสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยได้รับความเป็นธรรมอย่างเสมอหน้ากัน
4. ข้าราชการประจำเป็นกลไกสำคัญของรัฐในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ประชาชน ข้าราชการไม่ใช่ข้ารับใช้นักการเมือง แต่มีเกียรติยศและศักดิ์ศรีของตัวเอง เกียรติยศและศักดิ์ศรีดังกล่าวก็คือการเป็นมืออาชีพในการบำบัดทุกข์แก่ประชาชน ดังนั้นการข่มขู่และทำร้ายประชาชนแล้วอ้างว่าต้องทำเพราะเป็นคำสั่งของผู้บังคับบัญชาจึงเป็นเพียงข้ออ้างที่ไม่ได้คำนึงถึงเกียรติยศศักดิ์ศรีของตน แต่เป็นการขายเกียรติยศศักดิ์ศรีของข้าราชการประจำ
ที่จริงตามหลักการปกครองนั้น ไม่ใช่ว่าข้าราชการจะต้องฟังผู้บังคับบัญชาทุกอย่าง แต่จะฟังเฉพาะคำสั่งที่ถูกต้องชอบธรรมและมีคุณธรรม ซึ่งมีทั้งหลักกฎหมายและหลักคุณธรรมปกป้องข้าราชการประจำอยู่แล้ว แต่ข้าราชการเลือกที่จะทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาทั้งที่เป็นนักการเมืองและข้าราชการประจำในระดับสูงขึ้นไปก็เนื่องจากหวังว่าผู้บังคับบัญชาจะอวยยศให้ตน มีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตขึ้นนั่นเอง การกระทำเช่นนี้ของข้าราชการประจำทำให้ประเทศขาดกลไกในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาชน และทำให้ประชาชนที่มีข้อขัดแย้งกับอำนาจรัฐ ถูกทอดทิ้ง และกลายเป็นปัญหาของประเทศที่พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ
5. แนวทางที่ทุกฝ่ายควรจะกระทำก็คือ รัฐบาลต้องรีบส่งผู้รับผิดชอบโดยตรงและมีอำนาจตัดสินใจลงไปเจรจากับชาวสวนยางและสวนปาล์มที่กำลังชุมนุมประท้วงอยู่ ด้วยท่าทีของผู้ปกครองที่ต้องการบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ประชาชน สังคมจะต้องกดดันให้รัฐบาลลงไปทำหน้าที่นี้และแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลที่ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นรัฐบาลที่ไร้ประสิทธิภาพอย่างยิ่ง และไม่ควรเป็นรัฐบาลอีกต่อไป
ฝ่ายข้าราชการประจำจะต้องดูแลประชาชนที่ชุมนุมประท้วงเป็นอย่างดี สร้างบรรยากาศของการพูดคุยที่ดี รายงานสถานการณ์ต่อผู้บังคับบัญชาอย่างตรงไปตรงมา และเร่งรัดให้ฝ่ายการเมืองลงมาเจรจา ข้าราชการจะต้องยึดหลักการบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาชนในการทำงาน และไม่เป็นเครื่องมือของนักการเมืองที่จะปราบปรามประชาชนที่คิดเห็นต่างจากรัฐบาล
ส่วนฝ่ายประชาชนก็ต้องใช้ความอดทน ชุมนุมอย่างสงบ ไม่ตกหลุมการยั่วยุ เสนอข้อเรียกร้องที่ชัดเจนและพร้อมที่จะเจรจากับตัวแทนรัฐบาลอย่างมีเหตุมีผล หากทุกฝ่ายรู้หน้าที่ของตนเองเช่นนี้ ไม่เพียงจะสามารถแก้ปัญหาการชุมนุมประท้วงของชาวสวนยางและสวนปาล์มได้เท่านั้น แต่ปัญหาต่างๆ ของประเทศที่เกิดขึ้นก็จะสามารถแก้ไขได้ด้วย
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
* ดร.เลิศชาย ศิริชัย เป็นคณบดีสำนักวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
บรรยายภาพ :
1 ผู้ชุมนุมชาวสวนยางยังคงปักหลักปิดถนนที่ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช โดยมี นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เดินทางลงพื้นที่เพื่อรับฟังเสียงผู้ชุมนุม
2 ดร.เลิศชาย ศิริชัย
ขอบคุณ :
1 ภาพผู้ชุมนุมจาก จรูญ ทองนวล ช่างภาพมือรางวัล ศูนย์ภาพเนชั่น
2 ภาพ ดร.เลิศชาย จากเว็บไซต์ ศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จังหวัดนครศรีธรรมราช http://www.trf-ligor.org/Collaborator.html