อัด กสทช.ย้อนยุคเป็น กบว.คลอดประกาศคุมเนื้อหา
คณะวารสารฯ มธ.จัดเวทีสัมมนา ชำแหละร่างประกาศควบคุมเนื้อหารายการทีวีวิทยุ ชี้คลุมเครือ-ทำตามยาก-ขัด รธน.-เปิดช่องทุนแทรกสื่อ อัด กสทช.ย้อนยุคทำตัวเป็น กบว.

เมื่อวันที่ 21 ส.ค.2556 ที่คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการจัดงานเสวนาวิชาการ สิทธิเสรีภาพสื่อกับ พ.ร.บ.การประกอบกิจการวิทยุ กิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 ในหัวข้อ "เสรีภาพสื่อในวันที่ไร้ฮอร์โมน" หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีมติเห็นชอบ "(ร่าง) ประกาศ กสทช.เรื่อง หลักเกณฑ์การกำกับดูแลเนื้อหารายการในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. ...." หรือร่างกำกับเนื้อหารายการ ที่ออกตามมาตรา 37 แห่ง พ.ร.บ.การประกอบกิจการฯ ซึ่งถูกวิจารณ์ว่ามีเนื้อหากำกวม ไม่สามารถปฎิบัติได้จริง และเปิดช่องให้นายทุนแทรกแซงการทำงานของสื่อ
น.ส.กุลนารี เสือโรจน์ อาจารย์ประจำคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มธ. กล่าวสรุปว่า ร่างประกาศ กสทช.ฉบับนี้มีปัญหาหลายอย่าง โดยเฉพาะ "ความกำกวม" ของถ้อยคำในหมวดที่ 1 เรื่องเนื้อหาต้องห้าม ที่จะทำให้เกิดการตีความขยายอำนาจ ซึ่งจะนำไปสู่การถูกเซ็นเซอร์หรือการเซ็นเซอร์ตัวเองในหลายๆ กรณี นอกจากนี้ ร่างประกาศ กสทช.ฉบับนี้ยังเน้นเรื่องการห้ามเสียเยอะ ทั้งๆ ที่ควรมีการส่งเสริมควบคู่กัน ขณะที่ในหมวดที่ 2 ก็เปิดโอกาสให้เจ้าของสถานีเข้าไปแทรกแซงผู้ผลิตเนื้อหา
น.ส.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มธ. กล่าวว่า การสร้างกติกาใดๆ ในสังคมไทยเวลานี้เป็นเรื่องยากสุดๆ เพราะคนมีความเห็นต่างกันในทุกเรื่อง และแต่ละคนก็มีเครื่องมือในการโต้เถียง เนื้อหาในร่างประกาศ กสทช.ฉบับนี้ หลายข้อมีความคลุมเครือมาก และต้องใช้การตีความของคน คำถามคือจะให้ใครมาตีความ แล้วพวกเรายอมรับได้ไหม สุดท้ายก็จะนำไปสู่การโต้เถียงกันไม่จบ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ร่างประกาศ กสทช.ฉบับนี้ จะสู่การหลีกเลี่ยงบางเรื่อง เพราะเห็นว่าคนไม่น่าจะชอบหรือไม่ควรจะนำเสนอ ทำให้บางแนวคิดตายไปโดยไม่ถูกนำเสนอเลย ทั้งๆ ที่คนซึ่งควรจะเป็นผู้ตัดสินก็คือพวกเรา ไม่ใช่ให้บางคนเป็นผู้ตัดสินว่าจะกันอะไรออกไป
"เราต้องคืนอำนาจให้ประชาชน เปิดโอกาสให้พวกเราเป็นผู้ตัดสิน นั่นจะเปิดโอกาสให้สังคมนี้เติบโตขึ้น อะไรที่มันไม่เหมาะ ไม่ต้องดู สุดท้ายก็จะตายไป มันต้องเชื่อมั่นในการเลือกของประชาชน ต้องเลิกเชื่อว่าประชาชนโง่บัดซบเสียที" น.ส.ชลิดาภรณ์กล่าว
นายปฎิวัติ วสิกชาติ กรรมการสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย กล่าวว่า สภาวิชาชีพฯ และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะทำสงคราม เพราะวันที่ 30 ส.ค.2556 ซึ่งท้ายสุด หากร่างประกาศ กสทช.ฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ทั้งคณะวารสารฯ และคณะนิเทศศาสตร์ จะต้องฉีกตำราการสอนเดิมทิ้งและนำร่างประกาศ กสทช.ฉบับนี้ไปใช้แทน
"จำกบฎไอทีวีได้หรือไม่ ถ้าร่างประกาศ กสทช.ฉบับนี้ใช้บังคับเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว กบฎไอทีวีจะแพ้คดีในทุกๆ ศาล สมัยนั้นนายทุนสั่งให้นักข่าวไปทำข่าวของพรรคพวกตัวเอง ห้ามเสนอข่าวนั่นข่าวนี้ได้ ใครไม่ทำตามจะถูกไล่ออก ซึ่งร่างประกาศ กสทช.ฉบับนี้ให้อำนาจผู้รับใบอนุญาต ซึ่งก็คือเจ้าของกิจการ ในการเข้าไปแทรกแซงการทำงานของสื่อ ซึ่งไม่เพียงขัดกับประกาศ กสทช.หลาๆ ฉบับที่ออกมาก่อนหน้า ยังขัดกับรัฐธรรมนูญ ที่ให้สื่อมีสิทธิเสรีภาพในการทำงาน" นายปฎิวัติกล่าว
นายนภพัฒน์จักษ์ อัตตนนท์ ผู้สื่อข่าวเนชั่นทีวี กล่าวว่า เนื้อหาในร่างประกาศ กสทช.ฉบับนี้ไม่สามารถใช้ได้จริง เช่นให้มีข้อมูลจากแหล่งข่าวทุกด้าน การทำงานจริงมันมีเวลาจำกัด นอกจากนี้ยังมีกรณีที่เชิญแหล่งข่าวอีกด้านอย่างไรก็ไม่ยอมมาออกรายการ นอกจากนี้ตนยังกังวลเรื่องการเลือกปฎิบัติ หรือมันมีกฎอยู่แล้ว แต่ถูกเลือกใช้กับบางข้างเท่านั้น กลายเป็นผู้คุมกฎเลือกข้างเสียเอง ทั้งนี้ ตนยังเห็นว่าหากมีการห้ามออกทีวีมากๆ ก็จะไปโผล่ที่อื่น เช่น อินเทอร์เน็ตแทน ที่ยิ่งควบคุมยากและยิ่งอันตรายมากขึ้น และท้ายสุด เนื้อหาที่จะได้ออกก็จะมีแต่เรื่องบันเทิง เช่น ดาราประกาศแต่งงาน เพราะมันไม่เป็นพิษภัยต่อความมั่นคง
นายวรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง นักวิจัยกลุ่มติดตามนโยบายสื่อและโทรคมนาคม (NBTC Watch Policy) กล่าว ข้อวิจารณ์โดยรวมของสังคมต่อร่างประกาศ กสทช.นี้ คนจะวิจารณ์ว่า กสทช.ทำตัวเป็น กบว.ส่งเสริมการเซ็นเซอร์สื่อโดยรัฐ สร้างความคลุุมเครือ เปิดให้ กสทช.ใช้ดุลยพินิจมากไป และขยายอำนาจเกินกว่ามาตรา 37 ไม่ส่งเสริมให้สื่อดูแลกันเอง ละเมิดสิทธิเสรีภาพของสื่อ ทั้งๆ ที่โดยหลักสากล การออกข้อกำหนดลักษณะนี้ จะต้องคำนึงถึงสมดุลระหว่างสิทธิเสรีภาพและประโยชน์สาธารณะ ที่สำคัญจะไม่เปิดโอกาสให้รัฐใช้ดุลยพินิจมากไป เพราะธรรมชาติของสื่อจะต้องปะทะกับอำนาจรัฐอยู่แล้ว ตัวเนื้อหาใน ร่างประกาศ กสทช.ฉบับนี้ยังมีปัญหา เพราะหลายๆ ข้ออยู่ในหลักจริยธรรมวิชาชีพ เป็นเรื่องกระบวนการ ซึ่งโดยหลักแล้วรัฐควรกำกับผลสุดท้าย ที่เป็นโทษต่อสังคม ไม่ควรแทรกแซงกระบวนการ
"แนวทางที่ดีที่สุดคือการให้สื่อกำกับดูแลกันเอง โดยอาจใช้กำกับดูแล 2 ชั้น เช่นถ้าสื่อกำกับดูแลกันเองไม่ได้ รัฐค่อยเข้าไปแทรกแซง นอกจากนี้ รัฐยังควรส่งเสริมให้สื่อกำกับดูแลกันเอง" นายวรพจน์กล่าว.
