เปิดงานวิจัยพบ “แก่และจน” มีเกินครึ่งประเทศ 60-70% ต้องการความช่วยเหลือ
นักวิจัยมจธ.-จุฬาฯ ชี้ความเหลื่อมล้ำเจอมากสุดภาคใต้ คนแก่ จ.ภูเก็ต หาดใหญ่ สงขลา รวยมาก ต่างลิบลับคนแก่3 จ.ชายแดนใต้ ยากจน ยันรัฐกึ่งสวัสดิการแบบไทยๆ เอาไม่อยู่แน่ แนะภาครัฐทบทวน รื้อนโยบายกระจายความช่วยเหลือใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ นักวิจัยของวิทยาลัยการจัดการและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ประกอบด้วย ดร.ปภัศร ชัยวัฒน์ และ ดร.สวรัย บุณยมานนท์ จากคณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เปิดเผยผลงานวิจัยเรื่อง “การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรกับความเหลื่อมล้ำทางรายได้ในประเทศ” ซึ่งล่าสุด ทีมวิจัยเพิ่งได้รับรางวัลจากงานวิจัยดีเด่นจากสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยได้พบข้อมูลสำคัญ อีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า ผู้สูงอายุไทยกว่า 60-70 เปอร์เซ็นต์กำลังจะกลายเป็นคนแก่ที่จนไปพร้อมๆ กัน
สำหรับงานวิจัยชิ้นนี้ เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลสภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนมาตั้งแต่ปี 2529-2552 จำแนกประชากรออกเป็น 4 กลุ่มตามช่วงอายุ โดยมุ่งวิเคราะห์ผลกระทบต่อความเหลื่อมล้ำทางรายได้ที่เกิดภายในแต่ละกลุ่มอายุประชากร และความเหลื่อมล้ำทางรายได้ที่เกิดขึ้นระหว่างกลุ่มอายุประชากร ตลอดจนวิเคราะห์ความแตกต่างทางรายได้ระหว่างประชากรสูงอายุด้วยกัน และปัจจัยกำหนดที่มีอิทธิพลต่อความแตกต่างทางรายได้
ดร.ปภัศร กล่าวว่า ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ประชากรในแต่ละกลุ่มอายุ มีลักษณะเฉพาะทางประชากร สังคม และเศรษฐกิจที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประชากรสูงอายุ ซึ่งพบว่าเป็นกลุ่มที่มีระดับการศึกษาต่ำที่สุด ส่วนใหญ่ไม่มีรายได้หรือรายได้ต่ำ ทั้งนี้รายได้ส่วนใหญ่มาจากเงินช่วยเหลือเป็นหลัก และในขณะเดียวกันประชากรกลุ่มสูงอายุ ยังมีความแตกต่างทางรายได้ภายในกลุ่มสูงที่สุด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ความเหลื่อมล้ำกันเองของกลุ่มผู้สูงอายุมีสูง เพราะมีผู้สูงอายุไม่กี่คนที่ถือครองรายได้จำนวนมากไว้จำนวนมากคนละหลายหมื่นล้าน ในขณะที่คนแก่บางคนทั้งแก่และจนแบบต้องการความช่วยเหลือมีจำนวนมากกว่าถึง 60-70 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำในภาคใต้ เนื่องด้วยคนแก่ในจังหวัดภูเก็ต หาดใหญ่ สงขลา จะมีฐานะร่ำรวยมาก ในขณะที่คนแก่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ต้องการความช่วยเหลือ วันนี้สังคมไทยมีสถาบันครอบครัวที่มีความเข้มแข็ง สามารถจุนเจือเลี้ยงดู ทำให้ปัญหาเหล่านี้ไม่เด่นชัดเท่าที่ควร"
ห่วงวัยทำงาน แบกรับภาระหนัก
สำหรับสิ่งที่น่าเป็นห่วง ดร.ปภัศร กล่าวว่า ในอนาคตวัยรุ่นไทยหรือวัยทำงานอาจรับภาระนี้ไม่ไหว เนื่องจากอัตราภาระการพึ่งพิงสูงจะเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับผู้สูงอายุส่วนใหญ่อายุยืน อาจส่งผลให้ปัญหาถึงจุดอิ่มตัวในไม่ช้า
"เรากำลังส่งสัญญาณไปยังภาครัฐว่า หากวันนี้ภาครัฐไม่หามาตรการมารองรับปัญหานี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน” ดร.ปภัศร กล่าว และว่า บทสรุปของงานวิจัยระบุถึงทางออกของปัญหา ลำดับแรกคนไทยจะต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติเรื่องการวางแผนชีวิตหลังเกษียนตั้งแต่เนิ่นๆ ต้องคิดว่า ถ้าลูกไม่เลี้ยงจะทำอย่างไร ต้องมีเงินจำนวนเท่าไหร่ต่อเดือนถึงอยู่ได้อย่างพอเพียงและไม่พึ่งพา ยังมีกรณีของเบี้ยยังชีพคนชราที่ภาครัฐไม่สามารถกระจายเงินดังกล่าวไปถึงยังผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ตามป่าเขา หรือแหล่งท้องที่กันดาร ดังนั้นแม้ว่าวันนี้ประเทศไทยจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น แต่กลับไม่สามารถกระจายประโยชน์ดังกล่าวไปทั่วถึงทุกกลุ่ม ดังนั้นภาครัฐจำเป็นต้องใช้เครื่องมือ อาทิ ภาษีทางตรงเพื่อดึงประโยชน์จากคนร่ำรวย มาดูแลคนที่ไม่ได้รับประโยชน์จากการพัฒนา อาทิ ผู้สูงอายุ มากขึ้น
จูงใจวัยแรงงานวางแผนหลังเกษียณ
ทั้งนี้ ทีมวิจัยได้เสนอให้ภาครัฐมีนโยบายที่สร้างแรงจูงใจให้วัยแรงงานวางแผนหลังการเกษียณอายุ รวมถึงในเรื่องของการทำประกันรายได้ผู้สูงอายุ และการใช้ประโยชน์จากภาษีทางตรงให้มากขึ้น
อย่างไรก็ดี ในการศึกษาต่อเนื่องนั้น ได้ทำการศึกษาเรื่อง ความเป็นไปได้ในการยืดอายุระยะเกษียนออกไปให้มากกว่า 60 ปี ของไทย อีกทั้งคนไทยต้องลดมายาคติที่มองว่า คนแก่ไร้ประโยชน์อย่างเร่งด่วน ขณะเดียวกันหากมีการขยายอายุเกษียน ผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปี จะต้องมีการปรับตัว โดยอาจจัดสรรเวลาการทำงานและตำแหน่งงานอย่างเหมาะสม เพื่อเปิดทางให้วัยทำงานได้สร้างความก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้อย่างเต็มศักยภาพ
ขณะเดียวกันรัฐอาจต้องนำนโยบายเกี่ยวกับผู้สูงอายุมารื้อฟื้นใหม่ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ โดยรัฐไม่จำเป็นต้องสร้างนโยบายช่วยเหลือทุกกลุ่ม แต่ควรดูแลอย่างทั่งถึงในกลุ่มที่มีความต้องการอย่างแท้จริง อย่างกรณีเบี้ยชราภาพ ซึ่งจากตัวเลขสถิติในปัจจุบัน ยังพบการกระจายของเงินช่วยเหลือดังกล่าวที่ไม่ทั่วถึง และไม่พอเพียงต่อการดำรงชีพ อีกทั้งในอนาคตที่สำนักงานประกันสังคมจะต้องจ่ายเบี้ยชราภาพแบบบำนาญอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นที่น่ากังวลว่าจะมีผลกระทบต่อฐานะเงินกองทุนในลักษณะใดในระยะยาว ซึ่งถือได้ว่าเป็นสัญญาณเตือนอันแรกที่สังคมไทยจำเป็นต้องระวังมากขึ้น