"โมเดล" สวัสดิการสุขภาพเทียบเท่าระบบราชการของพนักงานมหาวิทยาลัย
พนักงานมหาวิทยาลัย ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 มาตรา 3 ที่ให้เพิ่มคำนิยามของพนักงานมหาวิทยาลัยใน มาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2547 คือบุคคลที่ได้รับการจ้างตามสัญญาจ้างให้ทำงานในสถาบันอุดมศึกษา โดยได้รับค่าจ้างค่าตอบแทนจากเงินงบประมาณแผ่นดินหรือเงินรายได้ของสถาบันอุดมศึกษา
ปัจจุบันในสถาบันอุดมศึกษาไม่มีการบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาแล้ว ซึ่งเป็นไปตามมติ คณะรัฐมนตรี (ครม.) พ.ศ.2542 แต่สถาบันอุดมศึกษาจะใช้การบรรจุและแต่งตั้งพนักงานมหาวิทยาลัยทดแทนอัตราข้าราชการเดิมที่เกษียณและในกรณีที่มีการสรรหาใหม่กรณีขาดแคลน ซึ่งพนักงานมหาวิทยาลัยมีสิทธิที่จะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการและตำแหน่งผู้บริหารเช่นเดียวกันกับข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาพนักงานมหาวิทยาลัยจึงถือได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทหนึ่ง
ส่วนในเรื่องสวัสดิการการรักษาพยาบาล พบว่า พนักงานมหาวิทยาลัยเกือบทั้งหมดถูกผลักเข้าไปใช้สิทธิประกันสังคม เนื่องจากแต่ละสถาบันไม่ได้จัดสวัสดิการเหล่านี้แก่พนักงานในสังกัดตน จึงก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำในกรณีสิทธิการรักษาพยาบาล
ทั้งนี้เนื่องจากตามสิทธิของผู้ประกันตนแห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2553 ก็แทบจะไม่มีอะไรเพิ่มเติม ซึ่งมีเพียงสถานบันอุดมศึกษาบางแห่งเท่านั้นที่จัดสวัสดิการเพิ่มเติมแก่พนักงานมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ซื้อประกันสุขภาพกลุ่มให้แก่พนักงานในสังกัดของตน เมื่อพิจารณาความตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 มาตรา 9 (3) คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมีอำนาจตามความใน ม. 9 สามารถบริหารจัดการให้เจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่ใช่ข้าราชการได้รับบริการสาธารณสุขได้แล้วแต่กรณี โดยอาจกำหนดในรูปของการประกาศเป็นพระราชกฤษฎีกา และเมื่อมีพระราชกฤษฎีกาตามวรรคสามบังคับแล้ว ให้หน่วยงานของรัฐแล้วแต่กรณีดำเนินการจัดสรรเงินในส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลสำหรับบุคคลตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฏีกานั้นให้แก่กองทุนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่ตกลงกับคณะกรรมการได้
ตามมาตรา 10 ของพระราชบัญญัติ หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ระบุชัดเจนว่า สามารถขยายบริการสาธารณสุขตาม พรบ. นี้ไปยังผู้มีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยประกันสังคม สามารถทำได้โดยให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพและคณะกรรมการประกันสังคมตกลงกัน ดังนั้นที่พนักงานมหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยต้นสังกัด และรัฐเอง ที่ต้องส่งงบประมาณให้กับประกันสังคมไปในสัดส่วนคนละ 33% นั้น สามารถโยกงบประมาณกลับมาให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) บริหารจัดการได้
นอกจากนี้ในมาตรา 10 แห่ง พรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ยังระบุว่า ให้คณะกรรมการจัดเตรียมความพร้อมในการให้บริการสาธารณสุขแก่ผู้มีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยประกันสังคม และเมื่อได้ตกลงกันเกี่ยวกับความพร้อมให้บริการสาธารณสุขกับคณะกรรมการประกันสังคมแล้ว ให้คณะกรรมการเสนอรัฐบาลเพื่อตราพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาการเริ่มให้บริการสาธารณสุขจากหน่วยบริการตามพระราชบัญญัตินี้แก่ผู้มีสิทธิดังกล่าวและเมื่อมีพระราชกฤษฎีกาตามวรรคสองใช้บังคับแล้ว ให้สำนักงานประกันสังคมส่งเงินค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขจากกองทุนประกันสังคมให้แก่กองทุนตามจำนวนที่คณะกรรมการและคณะกรรมการประกันสังคมตกลงกัน
พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 4 ระบุชัดเจนว่า พระราชบัญญัติประกันสังคมไม่ใช้บังคับแก่ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวรายวัน และลูกจ้างชั่วคราวรายชั่วโมงของราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น ยกเว้นลูกจ้างชั่วคราวรายเดือน
แต่ปัจจุบันเนื่องจากยังไม่มีการตีความสถานะที่ชัดเจนของพนักงานมหาวิทยาลัย ทำให้ทุกมหาวิทยาลัยพร้อมใจผลักพนักงานมหาวิทยาลัยเข้าสู่ระบบประกันสังคม เนื่องจากเป็นวิธีการที่ง่ายสุด !โดยงบประมาณที่ใช้มาจากงบประมาณแผ่นดินทั้งหมดคือ พนักงานมหาวิทยาลัยจ่ายเข้ากองทุน 33% มหาวิทยาลัยจ่าย 33% รัฐสนับสนุน 33% และเงินทั้งสามส่วนมาจาก เงินงบประมาณแผ่นดินที่รัฐให้มาเป็นเงินเดือน งบประมาณมหาวิทยาลัย และที่รัฐจ่ายเอง
จากสัดส่วนข้างต้น เมื่อพิจารณาดูแล้วงบต่อหัวต่อเดือนที่ต้องใช้กับระบบประกันสุขภาพของประกันสังคมตกประมาณ 1,800 บาทต่อเดือน หรือ 21,600 บาทต่อคนต่อปี เมื่อพิจารณาจำนวนบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาที่ถูกผลักเข้าไปใช้ระบบประกันสังคมมีข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ) พบว่า พนักงานมหาวิทยาลัย พนักงานราชการและบุคลากรที่ไม่ใช่ข้าราชการทั้งหมด มีจำนวนรวม 131,692 คน นั่นคือระบบประกันสังคมได้รับงบประมาณจากคนกลุ่มนี้ประมาณ 2,844,547,200 บาท หรือเกือบ 3 พันล้านบาทต่อปี
หากพิจารณาในส่วนกองทุนอื่น ในงบประมาณที่รัฐอุดหนุนระบบสวัสดิการ เช่น ระบบราชการ ตกปีละ 6 หมื่นล้านบาท ต่อข้าราชการ 5 ล้านคน ตกปีละ 12,000 หรือเดือนละ 1,000 บาทต่อคน และหากดูเรื่องงบประมาณต่อหัว จะสามารถนำพนักงานมหาวิทยาลัยออกมาใช้ระบบที่ทัดเทียมราชการได้ โดยในเบื้องต้นอาจให้ครอบคลุมสิทธิ์เฉพาะบุคคลไปก่อน
เมื่อถามว่าระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลแบบข้าราชการ (ขรก.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (กองทุน อปท. และบัตรทอง) และ ประกันสังคม (ปกส) เทียบกันแล้ว ระบบไหนที่ดูดีและเหมาะสมกับพนักงานมหาวิทยาลัย
พว.จิรัชยา เจียวก๊ก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในฐานะผู้ช่วยเลขาธิการศูนย์ประสานงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ให้ความเห็นว่า "หากพนักงานมหาวิทยาลัยโยกมาใช้สิทธิ์ตามโมเดลที่ สปสช. ได้ดำเนินการกับ องค์การปกครองท้องถิ่นประเทศไทย(อปท.) ซึ่งจะทำให้พนักงานมหาวิทยาลัยมีสิทธิ์ในสวัสดิการการรักษาพยาบาลเทียบเท่าระบบราชการเดิมได้มากที่สุด"
ประเด็นหลักๆ ที่ พว.จิรัชยา ได้เปรียบเทียบสิทธิ์ของ ขรก. สปสช.(กองทุน อปท. และบัตรทอง) และ ปกส. ได้แก่
หากใช้โมเดลเดียวกันก็จะสามารถทำจ่ายตรงได้ทั้งตนเองและครอบครัว เหมือน ขรก.ทุกอย่าง
ดังนั้นหากโมเดลนี้เกิดขึ้นจริง พนักงานมหาวิทยาลัยและบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาที่ไม่ใช่ข้าราชการ จะได้รับสิทธิรักษาพยาบาล เทียบเท่าข้าราชการ ซึ่งจะทำให้เกิดความเป็นธรรมแก่บุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ มีขวัญ และกำลังใจในการทำงาน โดยที่บุคลากรไม่ต้องกังวลในเรื่องสวัสดิการการรักษาพยาบาล