5 พรรคการเมือง ขึ้นเวทีโชว์วิสัยทัศน์พัฒนาตลาดทุนไทย
ทีมศก.จาก 5 พรรคการเมือง ขึ้นเวทีประชันวิสัยทัศน์พัฒนาตลาดทุนไทย ปชป.เร่งเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อลดภาระการใช้งบฯ ภาครัฐ ขณะที่ ชทพ. ตั้งเป้าลบภาพการเป็นสถานที่เก็งกำไร
เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน สภาธุรกิจตลาดทุนไทย จัดสัมมนา "ตลาดทุนกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยภายใต้รัฐบาลใหม่” ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมกับเชิญตัวแทนพรรคการเมือง ร่วมแสดงวิสัยทัศน์แนวทางการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตลาดทุน
นายกรณ์ จาติกวาณิช หัวหน้าทีมเศษฐษกิจพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว ว่า พรรคประชาธิปัตย์เห็นด้วยที่จะรวมตลาดอนุพันธ์และตลาดซื้อขายสินค้าเกษตร ล่วงหน้ารวมเข้าด้วยกัน สำหรับนโยบาย 3 เรื่องแรกที่เป็นภารกิจที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาตลาดทุน คือเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อลดภาระการใช้งบประมาณของภาครัฐ โดยเฉพาเอกชนที่ร่วมลงทุนในระบบสาธารณูปโภค ขณะนี้การแก้พรบ.ร่วมทุน ผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว และอยู่ในขั้นตอนการสู่การพิจารณาของสภาฯ รวมทั้งจะเปิดให้นักลงทุนในกลุ่มอาเซียนเข้ามาลงทุนในตลาดทุนไทยมากขึ้น การปรับปรุงระบบโครงสร้างภาษีทั้งระบบ และการตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ ซึ่งจะเป็นแหล่งระดมทุน และสร้างวินัยทางการออมให้กับประชาชน
"กองทุนการออมแห่งชาติ เรื่องอยู่ที่กระทรวงการคลังที่ควรตั้งให้เสร็จในเดือนมิถุนายนนี้ ฝ่ายบริหารต้องชัดเจนโปร่งใส รองรับคนระดับรากหญ้าหรือคนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการลงทุน"
ด้านดร.โอฬาร ไชยประวัติ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงนโยบายการพัฒนาตลาดทุนไทย หลังจัดตั้งรัฐบาล ทางพรรคจะเน้นการลดภาษีนิติบุคคลลงจากร้อยละ 30 ในปัจจุบันให้เหลือร้อยละ 23 ภายในปีหน้า และเหลือร้อยละ 20 ในปีถัดไป รวมทั้งพัฒนาแผนตลาดทุนให้สามารถรองรับตลาดพันธบัตรรัฐบาลได้อีก 10 ปีข้างหน้า นอกจากนี้มีแผนที่จะรวมตลาดอนุพันธ์และตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้ารวม เข้าด้วยกัน เพื่อยกระดับสินค้าเกษตรไทย โดยเฉพาะข้าว และมันสำปะหลัง เพื่อลดความเสี่ยงด้านราคาให้กับเกษตรกร และสร้างเสถียรภาพด้านราคาสินค้าเกษตรและสินค้าโภคภัณฑ์ ตั้งเป้าหมายจะทำให้ได้ภายใน 6 เดือน ขณะเดียวกันก็ยังมีแนวคิดที่จะพัฒนาตลาดตราสารหนี้ เพื่อเพิ่มช่องทางให้นักลงทุนรายย่อยมีโอกาสเข้าไปซื้อขายได้มากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาเป็นตลาดของนักลงทุนรายใหญ่
นายกรพจน์ อัศวินวิจิตร หัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน กล่าวถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จะ ต้องมีการเปิดเสรีธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ ปรับโครงสร้างภาษีของผู้ประกอบการให้สอดคล้องและเท่าเทียม เพื่อเอื้อต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยให้ธนาคารแห่งประเทศไทยอำนวยความสะดวกในการให้นักลงทุนไทย ไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะการผ่อนคลายวงเงินในการลงทุนในต่างประเทศให้มาก
"เรื่องด่วนที่ต้องเร่งดำเนินการเป็นลำดับแรก คือ การส่งเสริมการควบรวมกิจการของบริษัทไทย เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน ส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศ และให้การส่งเสริมทางด้านภาษี เปิดเสรีการลงทุนในตลาดอาเซียน และเร่งปรับเปลี่ยนรูปแบบการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์"
ด้านนายเกษมสันต์ วีระกูล หัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าว ว่า ตลาดทุนจะต้องมีการเตรียมความพร้อม เพื่อรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 เนื่องจากในปัจจุบันไทยยังไม่มียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน และจะต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างภาษีทั้งระบบ โดยเฉพาะภาษีนิติบุคคลควรปรับให้สอดคล้องกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่การปรับภาษีจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข ต้องมีอัตราภาษีมีความยืดหยุ่น อัตราภาษีบวกลบไม่เกินร้อยละ 10 และต้องเป็นอัตราภาษีที่เพียงพอต่อรายได้
“หากเปิดประเทศในปี 2558 แล้วไม่ทำอะไรเลย ไทยจะไม่มีอะไรเหลือ สมองไหลไปต่างประเทศ ทำงานต่างประเทศ จดทะเบียนเสียภาษีที่ต่างประเทศ ดังนั้นต้องยืดหยุ่นปรับตัวกับเพื่อนบ้าน ต้องมีรายได้เพียงพอกับการพัฒนาประเทศ เรื่องของภาษีต้องเป็นการหารายได้ ไม่ไช่ว่าภาษีแก้ปัญหาแล้วเละ แก้ไม่ออก ถึงเวลาที่ต้องปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์ไทย ซึ่งอยากเห็นความเป็นอาชีพ การได้มาของกรรมการหน่วยงานต้องไม่มีประโยชน์ทับซ้อน และมีความไม่โปร่งใส่”
ดร.เกษมสันต์ กล่าวอีกว่า ลำดับแรก สิ่งที่จะเร่งทำ คือ ลบภาพการเป็นสถานที่เก็งกำไร เช่นการปิดบัง พรางข้อมูล หรือการคอร์รัปชั่น และการดูแลธุรกิจรายย่อย ป้องกันไม่ให้เกิดการปั่นตลาดหุ้น ให้ผู้แทนรายย่อยเข้าเป็นกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และตรวจสอบได้ สุดท้ายจะนำบทเรียนที่ดีและไม่ดีในต่างประเทศ มาสรุปเป็นภูมิคุ้มกันให้กับไทย
สุดท้ายนายสรยุทธ เพ็ชรตระกูล ผู้อำนวยการเลือกตั้งพรรคภูมิใจไทย กล่าว ว่า หากพรรคภูมิใจไทยได้จัดตั้งรัฐบาล จะมีแนวทางพัฒนาตลาดทุนไทย โดยจะปฏิรูปตลาดหลักทรัยพ์ฯ ให้มีความเสรีมากขึ้น ด้วยการปรับโครงสร้างตลาดหลักทรัพย์ให้เป็นบริษัทมหาชน และจะพัฒนาให้เป็นตลาดเสรีตามกลไกตลาดสากล เพื่อให้สามารถแข่งขันได้อย่างมีเสรีภาพ แต่ขณะนี้ยังมีปัญหา คือ ตลาดหลักทรัพย์ มีสินค้าหลายตัว แต่มีนักลงทุนไม่มาก เพราะฉะนั้นต้องแก้ปัญหาด้วยการให้ความรู้และต้องเร่งแก้ภาพลักษณ์ของตลาด ทุนไทย ที่ถูกมองว่าเป็นแหล่งพนันของคนรวย