นัก กม.มหาชนอังกฤษระบุ “ม.112” ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
นักกฎหมายต่างชาติชี้กม.อาญา ม.112 ขาดข้อพิสูจน์ความผิดด้านจิตใจ แนะแก้ไขผ่าน”บัวแก้ว”ไม่ควรให้บุคคลทั่วไปร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อเริ่มต้นดำเนินคดีได้
กรณีที่มีกระแสการเรียกร้องให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดในเรื่องการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ที่มักจะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการกล่าวหาบุคคลต่างๆ โดยไม่มีความชัดเจน และได้มีนักวิชาการทางด้านกฎหมายจำนวนมากได้แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ต่อสังคม
จากเรื่องดังกล่าวได้มีนักวิชาการต่างประเทศนำเสนอด้วยเช่นกัน คือ นาย ปีเตอร์ เลย์แลนด์(Peter Leyland)ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายมหาชนของมหาวิทยาลัย London Metropolitan University ซึ่งบรรยายในหัวข้อ"การต่อสู้เพื่อเสรีภาพในการแสดงออกในประเทศไทย:เจ้าพ่อสื่อ,พระมหากษัตริย์,สิทธิพลเมืองและกฎหมาย "(The Struggle for Freedom of Expression in Thailand: Media Moguls, the King, Citizen Rights and the Law) ณ School of Oriental and African Studies (SOAS) ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2552
ทั้งนี้ อุปทูตและเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตของไทย ณ กรุงลอนดอน ได้เข้าร่วมฟังการบรรยายดังกล่าวและสรุปคำบรรยายส่งให้ปลัดกระทรวงกระทรวงยุติธรรมเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2552 เพื่อใช้เป็นข้อมูลโดยนายเลย์แลนด์ระบุว่า การบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ด้วยบริบทเฉพาะของสังคมไทย โดยเฉพาะสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ในสังคมไทย การมีอยู่ของกฎหมายดังกล่าวเป็นสิ่งที่รับได้ แต่เสรีภาพในการแสดงออกในประเทศไทยมักถูกแทรกแซงผ่านสื่อด้วยการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว ยังคงมีจุดบกพร่องซึ่งควรได้รับการปฏิรูปโดยเฉพาะในประเด็น ดังนี้
“ขอบเขตและนิยามของความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพยังขาดความชัดเจน โดยมีข้อสังเกตว่า มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา เป็นข้อบทที่สั้นและไม่มีการอธิบายเพิ่มเติม โดยเฉพาะคำนิยามของการกระทำอันเป็นการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์
ถึงแม้ว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จะบัญญัติไว้ใกล้เคียงกับความผิดฐานหมิ่นประมาทในกรณีบุคคลทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ซึ่งใกล้เคียงกับแนวคิดของกฎหมาย common law ของสหราชอาณาจักร แต่ความแตกต่างกันคือ ในขณะที่การหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไปในมาตรา 326 และระบบกฎหมาย common law น้ำหนักของคดีจะขึ้นกับการพิสูจน์หลักฐานว่า การกระทำนั้น ก่อให้เกิดผู้ถูกหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่น เสื่อมเสียชื่อเสียงขึ้นจริงหรือไม่ แต่การตัดสินกระทำผิดตามมาตรา 112 ของไทยที่ผ่านมา เป็นการพิจารณาบนพื้นฐานของสมมุติฐานที่มาจากการตีความของศาลว่า การกระทำหรือคำพูดเช่นว่า สามารถส่งผลกระทบในทางลบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่ เนื่องจากการสืบพยานหลักฐานว่า บุคคลที่สามได้หลงเชื่อในคำพูดที่หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์หรือไม่นั้น ไม่สามารถกระทำได้ในทางปฏิบัติ เพราะหากบุคคลดังกล่าวยอมรับว่าได้หลงเชื่อ ก็อาจถูกตั้งข้อหาว่า หมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วยเช่นกัน”
นายเลย์แลนด์ กล่าวอีกว่า กฎหมายว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ผ่านมา ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ตั้งแต่ในอดีต โดยฝ่ายทหารที่ต้องการเสริมสร้างอำนาจให้แก่กองทัพ และปัจจุบันโดยผู้สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นอกจากปัญหาเกี่ยวกับขอบเขตและคำนิยามแล้ว มาตรา 112 ของประมวลอาญา ยังมีประเด็นที่ขัดต่อหลักการสิทธิมนุษยชนด้วย อาทิ เป็นฐานความผิดทางอาญาที่มีบทลงโทษรุนแรงเกินกว่าเหตุ นอกจากนี้ ความผิดดังกล่าวไม่มีการพิสูจน์องค์ประกอบด้านจิตใจ (เจตนาหรือประมาท) อันเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบของการรับผิดทางอาญา
“มาตรา 112 ไม่สามารถควบคุมกรณีผู้กล่าวหามีความประสงค์ร้ายแอบแฝง โดยอ้างความจงรักภักดีในสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเกราะกำบัง และการบังคับใช้ ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมที่เป็นอิสระ เนื่องจากตำรวจ ทหาร อัยการ ผู้พิพากษา และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนต่างต้องแสดงความจงรักภักดีในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ มิฉะนั้น อาจถูกกล่าวหาว่ากระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเองได้”
นาย เลย์แลนด์ได้เสนอแนวทางการปฏิรูปกฎหมายว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของไทย ดังนี้1.ควรจำกัดขอบเขตและแนวทางในการดำเนินคดีในความผิดฐานดังกล่าวให้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม อาทิ ไม่ควรระบุให้บุคคลทั่วไปสามารถร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อเริ่มต้นกระบวนการการสืบสวนสอบสวนและดำเนินคดีได้ 2. ควรจำแนกและกำหนดบทลงโทษที่แตกต่างตามลำดับความร้ายแรงภายใต้ฐานความผิดตามมาตรา 112 และ 3. ควรระบุข้อยกเว้นของความผิดบางประการ เพื่อป้องกันการลงโทษคดีที่ไม่เป็นสาระ
นอกจากนี้ยังควรกำหนดให้การพิสูจน์องค์ประกอบด้านจิตใจ (เจตนาหรือประมาท) เป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบการรับผิดชอบทางอาญาในฐานความผิดนี้ ซึ่งที่มีบทลงโทษสูงถึงขั้นการจำคุก
“สุดท้ายควรให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการบังคับใช้กฎหมายฯ (พยาน ตำรวจ อัยการ ทนายความ ผู้พิพากษา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง) ได้รับความคุ้มกันอย่างเต็มที่จากการถูกดำเนินคดี ทั้งนี้เพื่อให้เกิดกระบวนการพิจารณาคดีและพิพากษาที่เป็นธรรม” นายเลย์แลนด์ ระบุ