พระจอมเกล้าลาดกระบัง เปิดวิศวระบบรางแห่งแรกรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
พระจอมเกล้าลาดกระบัง เปิดหลักสูตรวิศวกรรมขนส่งทางรางแห่งแรก รับตลาดแรงงานโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน หนุนยกระดับเป็นระบบรางคู่ แนะรอบคอบศึกษารถไฟความเร็วสูง อาจไม่คุ้มทุกเส้นทาง
วันที่ 16 กรกฎาคม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) แถลงเปิดหลักสูตรวิศวกรรมขนส่งทางราง (Rail Transportation Engineering) แห่งแรกในประเทศไทย ณ ห้องประชุมอาคารสำนักงานอธิการบดี ชั้น 7 สจล.
ศ.ดร.ถวิล พึ่งมา อธิการบดี สจล. กล่าวว่า ในอนาคตโครงการที่ภาครัฐกระตุ้นและพยายามให้เกิดขึ้น คือ ระบบรถไฟรางคู่ทั่วประเทศ รวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูง ซึ่งระบบรางคู่จะช่วยทำให้ระบบการขนส่งทางรางของไทยมีประสิทธิภาพในการเดินรถมากขึ้น และแก้ปัญหาเรื่องระยะเวลาในการขนส่ง อย่างไรก็ตามบุคลากรเฉพาะทางด้านระบบรางในประเทศไทยยังมีจำนวนน้อยมา และต้องพึ่งพาวิศวกรสาขาอื่นมาตลอด
"ด้วยความจำเป็นดังกล่าวนี้ และโครงการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ ทำให้ทางคณะวิศวกรรมศาสตร์เห็นความจำเป็น และพัฒนาเปิดหลักสูตรวิศวกรรมขนส่งทางรางขึ้น"
ศ.ดร.ถวิล กล่าวต่อว่า ปัจจุบันเส้นทางเดินรถในประเทศไทยมี 5 เส้นทางหลัก ได้แก่ สายเหนือ ระยะทาง 1,208 กิโลเมตร สายตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะทาง 1,545 กิโลเมตร สายใต้ระยะทาง 4,758 กิโลเมตร สายตะวันออก ระยะทาง 703 กิโลเมตร และสายแม่กลอง 64 กิโลเมตร รวมทั้งประเทศไทยเป็นระยะทาง 8,278 กิโลเมตร โดยระบบรถไฟดังกล่าวเปิดบริการมายาวนานกว่า 100 ปี และได้รับการซ่อมบำรุงรางรถไฟเป็นประจำ แต่ปัจจุบันรางรถไฟในประเทศไทยยังคงเป็นระบบรางเดี่ยว เมื่อจะสวนทางกันต้องรอสลับราง ซึ่งเป็นข้อเสียประการหนึ่งที่ทำให้เกิดความล่าช้าในการเดินทาง และไม่สามารถคำนวณเวลาในการเดินทางได้
ขณะที่เครื่องตรวจสภาพระบบรางแบบพิเศษ EM80 มีเพียงคันเดียวในประเทศไทย สำหรับวิ่งทดสอบรางกว่า 8,278 กิโลเมตร ทำให้การตรวจสอบรางมีโอกาสเกิดดการคาดเคลื่อนและต้องใช้ระยะเวลานานในการตรวจสอบ ทาง สจล.จึงวางหลักสูตรให้นักศึกษาได้เรียนและลงสำรวจคุณภาพ รอยร้าวของรางรถไฟด้วยเครื่อง "Phased Array Ultasonic" ที่ไม่ทำลายราง รวมถึงหาแนวทางปรับเปลี่ยนระบบรถไฟไทยสู่ระบบรางคู่
ขณะที่ดร.ณัฐวุฒิ หลิ่วพิริยวงศ์ ประธานหลักสูตรวิศวกรรมระบบราง คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. กล่าวถึงหลักสูตรวิศวกรรมขนส่งทางรางว่า ขณะนี้หลักสูตรค่อนข้างพร้อมทั้งบุคลากรและเทคโนโลยี เครื่องมือการเรียน การสอน การฝึกปฏิบัติ มุ่งเน้นการสร้าง ตรวจสอบ ซ่อมบำรุง ความปลอดภัย ระบบรถไฟความเร็วสูง และความรู้ทางวิศวกรรมที่ทำให้รถไฟเคลื่อนที่อย่างมีประสิทธิภาพ เร็ว ประหยัดและปลอดภัย โดยมุ่งหวังว่าตลอด 4 ปีของการศึกษา จะผลิตบัณฑิตให้จบออกไปดำเนินงานในด้านระบบรางที่กำลังจะมีการพัฒนาตามนโยบายของภาครัฐได้อย่างคล่องตัว
"หลักสูตรนี้มีความสำคัญ เนื่องจากที่ผ่านมาการทำงานระบบรางในประเทศไทย ต้องใช้บุคลากรในสายวิศวกรรมเครื่องกล ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการฝึกฝนให้เข้าใจงานระบบราง หากมีบุคลากรที่ตรงสายการทำงานจะเกิดประสิทธิภาพมากขึ้นและรองรับอัตราแรงงานที่จะเพิ่มมากขึ้น จากการลงทุนโครงการพัฒนาระบบคมนาคมในอนาคต จึงเป็นโอกาสดีที่จะพัฒนาบุคลากรเข้าไปรับกับนโยบายของภาครัฐ โดยขณะนี้ในปีแรกมีนักศึกษาในหลักสูตรนี้ 49 คน"
ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า โดยรอบทวีปเอเชีย ทั้งประเทศพม่า มีระบบรางคู่มานาน สิงคโปร์ พัฒนาการขนส่งมวลชนเป็นการขนส่งไฟฟ้าทั้งเกาะ เวียดนามมีการพัฒนาระบบรางมากขึ้น เพราะเห็นความสำคัญในการขนส่งและรู้ปัญหาของระบบรางเดี่ยว ดังนั้นการพัฒนาระบบรางจึงมีความจำเป็นที่ควรเกิดขึ้นในประเทศไทย เนื่องจากช่วยแก้ปัญหาในหลายด้าน และจะส่งผลต่อการพัฒนาด้านอื่นๆ เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามด้านความคุ้มค่า เห็นว่าระบบรางคู่นั้นคุ้มค่าอย่างแน่นอน แต่สำหรับรถไฟความเร็วสูงที่มีหลายเส้นทางนั้น จะต้องมีการศึกษาความคุ้มค่าของโครงการให้ดี เพราะมีบางเส้นทางที่อาจไม่คุ้มค่าในการลงทุนก่อสร้าง
ด้านตัวแทนนักศึกษา นายภาคภูมิ ชัยพินิจ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 หลักสูตรวิศวกรรมขนส่งทางรางรุ่นแรก กล่าวว่า เนื่องจากตนเป็นคนต่างจังหวัดที่ใช้บริการระบบราง และพบปัญหาความล่าช้าในการเดินทางมาตลอด จึงมีความสนใจและเลือกเรียนในหลักสูตรนี้ โดยหวังว่าในอนาคตจะเป็นส่วนเล็กๆ ที่ร่วมในการพัฒนาระบบรางให้ดีขึ้น
"ผมเห็นต่างประเทศมีระบบรางที่เข้าถึงต่างจังหวัด ย่นระยะเวลาในการเดินทางและมีความปลอดภัยกว่าทางถนน รวมถึงเพิ่มโอกาสระหว่างต่างจังหวัดกับเมืองหลวงในหลายด้าน ซึ่งเห็นว่าให้อนาคตระบบรางในประเทศไทยควรพัฒนาอย่างครอบคลุมมากขึ้น และต้องได้รับการพัฒนาระบบไปเรื่อยๆ"
ขณะที่นายพรกมล นวเสลา ตัวแทนนักศึกษาอีกราย กล่าวว่า ปัจจุบันนี้การคมนาคมในประเทศไทยค่อนข้างลำบาก การจราจรติดขัดมาก จำนวนรถเพิ่มมากขึ้น แม้จะสร้างทางด่วนมากเท่าไหร่ก็ไม่ช่วยให้การจราจรดีขึ้น ระบบรางจึงเป็นทางออกที่ควรได้รับการสนับสนุนมากขึ้น
"สำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นจะช่วยได้มาก ขณะที่หลายคนบ่นอาจแพงเกินไป ผมเห็นว่าแพงไม่กลัว แต่กลัวไม่คุ้ม ตามที่หลายคนไม่เชื่อมั่นการก่อสร้างในประเทศไทยที่มีตัวอย่างความไม่สำเร็จเกิดขึ้นมาแล้ว หากก่อสร้างแล้วได้แค่เสา ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก หากจะมีการลงทุนสูงก็ขอความมั่นใจ ศึกษาโครงการว่ามีความคุ้มค่าเพียงพอว่าจะได้ระบบคมนาคมขนส่งที่คุ้มค่าเหมือนประเทศอื่นๆ"