“พงศ์เทพ” พลิกวิธีสู้คดีน้ำ ชี้จุดอ่อนคำพิพากษาศาลปกครอง
“...เรื่องการอุทธรณ์ หน่วยงานต่างๆ ก็เสนอความเห็นเข้ามา ซึ่งแตกต่างจากคำพิพากษาของศาล เพราะศาลไม่ได้เรียกหน่วยงานของเรา ได้เข้าไปมีโอกาสแสดงความเห็นเลย เรียกไปครั้งเดียว ตอนที่ผู้ฟ้องขอไต่สวนฉุกเฉินให้มีการคุ้มครองชั่วคราว แค่นั้นเอง ยังไม่ได้พูดเนื้อหาของคดี หลังจากที่ศาลท่านทึกทักเอา ถ้าท่านมาถามหน่วยงานของเรา ก็คงจะได้รับคำชี้แจง...”
พลันที่ “ศาลปกครองกลาง” มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.2556 ให้รัฐบาลนำแผนบริหารจัดการน้ำกลับไปทำประชาพิจารณ์-จัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 57 วรรคสอง และมาตรา 67 วรรคสอง
เป็นผลให้การเดินหน้า “เมกะโปรเจ็คส์น้ำ” ทั้ง 9 โมดูล ที่ใช้งบประมาณจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท ต้องสะดุด-หยุดลงชั่วคราว
คำถามที่ตามมาก็คือ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะยอมทำตามคำพิพากษาของศาลปกครอง ที่อาจต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 2 ปี ถึงจะสามารถเซ็นสัญญาให้เอกชนเดินหน้าโครงการบริหารจัดการน้ำ
หรือจะใช้อีกวิธี คือยื่นอุทธรณ์ต่อ “ศาลปกครองสูงสุด” ให้พิจารณาคดีดังกล่าวซ้ำอีกรอบ
“พงศ์เทพ เทพกาญจนา” รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการกลั่นกรองคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ให้สัมภาษณ์กับ “สำนักข่าวอิศรา” www.isranews.org ก่อนวันนัดหมายตัดสินใจว่าจะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองกลางหรือไม่ ในวันที่ 12 ก.ค.2556
แต่เชื่อว่าหลังอ่านบทสัมภาษณ์นี้จบ หลายคนก็น่าจะพอเห็นภาพรางๆ ว่ารัฐบาลจะตัดสินใจอย่างไรกับกรณีนี้
*****
- การที่ศาลตัดสินให้ต้องแผนน้ำกลับไปทำประชาพิจารณ์ส่งผลกระทบอย่างไรต่อโครงการนี้ในภาพรวม
หลังเกิดเหตุการณ์มหาอุทกภัย ในปี 2554 ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ประเทศไทยต้องการโครงการบริหารจัดการน้ำ เหตุที่รัฐบาลต้องออก พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท ก็เพื่อนำเงินมาใช้ในโครงการดังกล่าว โดยเรามองเรื่องการแก้ไขปัญหาในภาพรวม ซึ่งต้องมีการเชื่อมต่อกันทั้งหมด ไม่สามารถทำแค่ 1-2 โครงการและจะแก้ไขปัญหาได้ ดังนั้นเราจึงทำสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน เพราะแต่ก่อนไม่มีใครเอาโครงการน้ำมาผูกด้วยกัน
ในช่วงแรก รัฐบาลได้ทำแผนแม่บท ซึ่งเป็นแผนกว้างๆ ก็เอาความรู้เดิมที่มิอยู่มารวมกัน ซึ่งในตอนนั้นก็มีการรับฟังความคิดเห็น แต่มันเป็นการรับฟังความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 57 วรรคสอง ที่ต้องมีรายละเอียดขั้นตอนต่างๆ เนื่องจากแผนแม่บท ยังเป็นแค่แผนกว้างๆ
ต้องมาถึงวันที่ 10 มิ.ย.2556 ที่มีการเปิดซองประมูลโครงการบริหารจัดการน้ำ ทั้ง 9 โมดูล เราถึงจะเริ่มเห็นว่าใครจะทำอะไรตรงไหน นั่นคือความชัดเจน ถ้าจะรับฟังความคิดเห็น ก็มีข้อมูลที่จะบอกประชาชนได้ และในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 18 มิ.ย.2556 ก็มีมติว่า โครงการไหนที่ต้องรับฟังความคิดเห็น ก็ให้ไปรับฟังโดยให้ประชาชนมามีส่วนร่วมมากที่สุด ซึ่งมติ ครม.นี้ มีก่อนที่ศาลปกครองจะมีคำพิพากษา ในวันที่ 27 มิ.ย.2556
- มีส่วนใดของคำพิพากษาที่ไม่เห็นด้วยบ้าง
ก็มี อาทิ ที่ศาลมองว่าแผนแม่บทเป็นการวางผังเมืองหรือจุดรูปการใช้ที่ดิน ซึ่งจริงๆ เราไม่เห็นด้วย เพราะมันไม่ใช่ การวางผังเมืองมันมีกฎหมายผังเมืองอยู่ว่าจะต้องทำอย่างไร แต่อันนี้มันไม่ใช่หรอก แต่ว่าเอาล่ะ แม้จะไม่เห็นด้วยหลายเรื่องในคำพิพากษา แต่มติ ครม.ที่ออกมาก็สอดคล้องกัน เราบอกอยู่แล้วว่าต้องไปรับฟังความเห็น อันนี้จึงไปด้วยกันได้
ส่วนที่ศาลบอกว่าจะต้องไปทำอีไอเอ ในกฎหมายสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่ว่าทุกโครงการที่จะทำจะต้องทำอีไอเอหมด ให้ทำเฉพาะเรื่องที่จะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น มีโครงการจะซื้อคอมพิวเตอร์ 500 เครื่อง ถามว่าต้องทำอีไอเอไหม มันไม่ต้อง นอกจากนี้ การทำอีไอเอ ไม่ใช่ใครจะทำก็ได้ แต่ต้องเป็นคนที่ขึ้นทะเบียนไว้เท่านั้น ซึ่งมีจำนวนประมาณ 60 ราย ดังนั้นไม่ว่ารัฐหรือเอกชนทำ ก็เหมือนๆ กัน เพราะต้องไปจ้างคนเหล่านี้ ดังนั้น
- เท่าที่หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเบื้องต้น มีแนวโน้มว่าจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่
เรื่องการอุทธรณ์ หน่วยงานต่างๆ ก็เสนอความเห็นเข้ามา ซึ่งแตกต่างจากคำพิพากษาของศาล เพราะศาลไม่ได้เรียกหน่วยงานของเรา ได้เข้าไปมีโอกาสแสดงความเห็นเลย เรียกไปครั้งเดียว ตอนที่ผู้ฟ้องขอไต่สวนฉุกเฉินให้มีการคุ้มครองชั่วคราว แค่นั้นเอง ยังไม่ได้พูดเนื้อหาของคดี หลังจากที่ศาลท่านทึกทักเอา ถ้าท่านมาถามหน่วยงานของเรา ก็คงจะได้รับคำชี้แจง แต่ศาลไม่ได้ถาม ไม่ได้เรียกให้ไปแสดงความเห็น
ฉะนั้นหลายอย่างที่ศาลท่านทึกทักเอา หน่วยงานเขาบอกว่า ข้อเท็จจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น หลายอย่างที่ศาลบอกว่าไม่ได้ทำ จริงๆ ก็ทำนะ ตรงนี้หน่วยงานทั้งหลายก็เสนอไปยังอัยการว่า มีข้อเท็จจริงอะไรที่เห็นต่างจากศาลบ้าง หลังจากนั้นอัยการก็จะนำความเห็นเหล่านี้ไปประมวล เพื่อเสนอกลับมายังสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ว่าจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่
- ประเด็นไหนบ้างที่หน่วยงานเห็นว่าศาลทึกทักเอาเอง
(ตอบทันที) เยอะแยะ ตั้งแต่เรื่องอำนาจฟ้อง หรือที่ศาลพูดถึงการวางผังเมือง การรับฟังความคิดเห็น ที่บอกว่าเราไม่ได้ทำ
- หากยอมทำตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง โดยไม่ยื่นอุทธรณ์ จะเกิดอุปสรรคอะไรต่อการเดินหน้าโครงการบริหารจัดการน้ำ
ตัวคำพิพากษาก็มีหลายจุดที่ไม่ชัดเจน เนื่องจากหน่วยงานไม่มีโอกาสได้นำเสนอข้อมูล ทำให้ศาลท่านตัดสินบนพื้นฐานข้อเท็จจริงที่อาจจะไม่ชัดเจน คนอ่านก็เลยเข้าใจยากเหมือนกัน แต่เราก็พยายามเสนอแนวทางแก้ปัญหาให้สอดคล้องกับคำพิพากษา อาทิ ให้ปรับแก้สัญญาที่จะนำไปเซ็นกับเอกชน โดยกำหนดให้รัฐเป็นผู้นำประชาพิจารณ์และอีไอเอแทนเอกชน
- เดิมรัฐบาลวางปฏิทินจะเซ็นสัญญากับเอกชนไว้เดือน ต.ค.2556 แต่เมื่อศาลสั่งมาให้ไปทำประชาพิจารณ์และอีเอไอก่อน ทำให้ชัดเจนแล้วว่ากำหนดการเดิมจะต้องเลื่อนออกไป อาจจะเป็น 1-2 ปี
อีไอเอมันทำไม่เสร็จในเวลาที่เหลืออยู่แล้ว ยิ่งเป็นโครงการใหญ่ๆ ด้วย แต่อย่างอื่นที่ยังเดินไปได้ เขาก็ทำไป
- ต้องกลับมาไล่ว่าโมดูลไหนบ้างมีโครงการที่ต้องทำอีไอเอ
ใช่ แต่ไม่จำเป็นว่าต้องหยุดทั้งโมดูล หากเห็นว่ามีบางโครงการต้องทำอีไอเอ ตราบใดไม่ผ่าน ก็ยังทำไม่ได้ แต่โครงการอื่นๆ ก็ยังเดินหน้าไป สมมุติโมดูลนี้มี 10 โครงการ ต้องทำอีไอเอแค่โครงการเดียว อีก 9 โครงการก็ทำไป
- การไม่ยื่นอุทธรณ์จะมีผลต่อการเอาผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับพวก ที่มีคนไปร้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้เอาผิดจากโครงการน้ำหรือไม่ เพราะผู้ร้องนำคำพิพากษาของศาลปกครองกลางไปประกอบด้วย
ผมไม่ทราบรายละเอียดว่าเขากล่าวหาอะไร อย่างคำพิพากษาของศาล รัฐบาลก็มีความเห็นต่าง และการยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.ก็มีหลายอย่าง ถ้าเป็นเรื่องการถอดถอน ก็ต้องจงใจฝ่ายฝืนกฎหมาย ซึ่งรัฐบาลไม่ทำอยู่แล้ว ใครๆ ก็อยากจะทำให้ถูกต้องตามกฎหมายทั้งสิ้น แต่ถ้าเป็นเรื่องทางอาญา ก็ต้องมีเจตนาพิเศษในการกระทำผิด เช่นทุจริต แต่นี่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น
จะไปทึกทักเอาว่า สิ่งที่ศาลปกครองกลางตัดสินไปแล้ว สามารถนำมาใช้กันทางอาญาหรือทางการเมืองได้ มันคงไม่ใช่ต้องเป็นตามนั้น เพราะมันคนละกลไกกัน ที่สำคัญศาลไม่ได้เรียกหน่วยงานรัฐไปเลย ทั้งๆ ที่ ตามวิธีพิจารณาความของศาลปกครอง ต้องให้โอกาสผู้ถูกฟ้องไปชี้แจงอย่างน้อย 1 ครั้ง นี่ก็ยังเป็นประเด็นว่าคดีกระบวนการพิจารณาทำโดยถูกต้องหรือไม่
- ฟังจากการเตรียมพร้อมทั้งหมด รวมถึงสิ่งที่โต้แย้งทั้งเนื้อหาคดีและกระบวนการพิจารณาคดี มีแนวโน้มสูงว่าจะยื่นเรื่องไปที่ศาลปกครองสูงสุด
ยังครับ ต้องให้อัยการดูทั้งหมดก่อน แล้วจะเสนอความเห็นว่าจะอุทธรณ์หรือไม่
- นอกจากเรื่องโครงการ ก็มีเรื่องการกู้เงินอีก เพราะนายกรณ์ จาติกวณิช อดีต รมว.คลัง ตั้งข้อสังเกตว่าการที่รองปลัดกระทรวงการคลังไปเซ็นสัญญากับธนาคารว่าจะกู้เงินตาม พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท ยังไม่ใช่การ “กู้เงิน” อย่างแท้จริง ที่จะต้องมีการเบิกเงินออกมาจากธนาคารด้วย ดังนั้น พ.ร.ก.ฉบับนี้จึงหมดอายุขัยไปเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.2556 โดยที่รัฐบาลยังไม่ได้ “กู้เงิน”
การกู้เงิน แค่ไปลงนามในสัญญากู้ ก็เท่ากับว่าได้กู้เงินแล้ว เมื่อทำสัญญากู้แล้วคุณจะเรียกเงินมาเมื่อไรก็ตามที่ต้องใช้ การทำสัญญากู้เงินไม่ใช่ว่าพอทำปั๊บต้องหิ้วเงินออกมาทันที รัฐบาลก่อนๆ เขาก็เขียน พ.ร.ก.กู้เงินอย่างนี้ จะเอาเงินมาแบกไว้แล้วเสียดอกเบี้ยโดยที่ยังไม่ทำอะไรทำไม เปรียบเทียบง่ายๆ พ.ร.ก.นี้ออกมากลางปี 2555 กำหนดให้สิ้นสุดเดือน มิ.ย.2556 เวลาเพียงเท่านี้ ไม่มีทางที่จะนำเงินทั้ง 3.5 แสนล้านบาท ออกมาใช้ได้ทันอยู่แล้ว
- แค่ลงนามว่าจะกู้เงินก็เท่ากับกู้แล้ว
การกู้เงินตาม พ.ร.ก.นี้ เกิดขึ้นแล้ว

