ผอ.นิติวิทย์คนใหม่ ไขปมคดีความมั่นคงใต้ยกฟ้อง 50%
เอ่ยถึงสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม เชื่อได้เลยว่าผู้คนจำนวนไม่น้อยนึกถึงหน้า "หมอพรทิพย์" หรือ แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ มากกว่าป้ายชื่อหรือโลโก้สถาบันเสียอีก เพราะหมอพรทิพย์คือผู้ปลุกปั้นผลักดันให้เกิดสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ขึ้น แม้จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันคนแรก แต่ก็อยู่กับสถาบันมาตั้งแต่เริ่ม และเป็นผู้อำนวยการต่อเนื่องยาวนานถึง 5 ปี
เป้าหมายหลักของการก่อตั้งสถาบัน คือเป็นศูนย์กลางการเก็บรวบรวมหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เป็นหน่วยงานอิสระที่สามารถทำงานถ่วงดุลกับตำรวจในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาได้
ที่ผ่านมาจึงแลเห็นภาพและข่าวหมอพรทิพย์ขัดแย้งปีนเกลียวกับตำรวจอยู่เนืองๆ ไม่เว้นแม้แต่งานในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ต้องเน้นความเป็นเอกภาพอย่างสูง
วันนี้หมอพรทิพย์ถูกย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรมแล้ว หลายคนตั้งคำถามว่าเมื่อไม่มีหมอพรทิพย์เป็นตัวชูโรง สถาบันนิติวิทยาศาสตร์จะอยู่ได้อย่างไร เพราะก่อตั้งสถาบันมากว่า 10 ปียังไม่มีกฎหมายรองรับองค์กร มีเพียงกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเมื่อปี 2545 เท่านั้น
นี่จึงเป็น "บทหนัก" ของ พ.ท.นพ.เอนก ยมจินดา ผู้อำนวยการสถาบันฯคนใหม่ ที่เข้ามารับไม้ต่อจากหมอพรทิพย์ และเลือกที่จะโฟกัสงานสำคัญไปที่การแก้ไขปัญหาภาคใต้เช่นเดียวกัน
"จากที่ได้ลงไปทำงานที่ ศอ.บต. (ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้) เป็นเวลา 9 เดือน ก่อนย้ายมารับตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พบว่าในพื้นที่มีปัญหาเยอะมาก" พ.ท.นพ.เอนกเอ่ยขึ้นในเบื้องต้น โดยย้อนเล่าถึงประสบการณ์ของตัวเขาเองเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ ศอ.บต.
และปัญหาที่พบมากที่สุดหนีไม่พ้นการไม่ประสานงานกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐด้วยกันเอง
"ท่านทวี (พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต.) มีแนวคิดบูรณาการงานร่วมกัน ระหว่าง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า (กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า) หน่วยงานยุติธรรมของ ศอ.บต. และศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) เนื่องจากแต่ละหน่วยไม่ร่วมมือแถมยังไม่ไว้วางใจกันเอง แล้วชาวบ้านจะไว้ใจเจ้าหน้าที่ได้อย่างไร"
"พูดง่ายๆ คือทหาร ตำรวจ อัยการ ศาล และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองทำงานแบบไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน บางเรื่องที่เกิดปัญหาขึ้นก็ไม่ยอมรับว่าหน่วยงานของตัวเองผิด นี่คือความจริงในพื้นที่ ประชาชนไทยพุทธกับมุสลิมก็รู้สึกไม่ไว้วางใจกัน หนักกว่านั้นคือไทยพุทธกับมุสลิมไม่ไว้วางใจกระบวนการยุติธรรมและเจ้าหน้าที่รัฐในภาพรวม"
กล่าวเฉพาะหน่วยงานที่เขารับผิดชอบ กับภารกิจเก็บรวบรวมหลักฐานในพื้นที่เกิดเหตุ ปรากฏว่าสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ก็ไม่บูรณาการกับหน่วยงานอื่น
"เรื่องนี้มีผลวิจัยยืนยันชัดเจนเกี่ยวกับการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ พบว่าสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กับศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ซึ่งมีอำนาจหน้าที่เก็บรวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ) ไม่มีการบูรณาการร่วมกันจนเกิดปัญหา โดยเฉพาะการปิดล้อมตรวจค้น เมื่อเจ้าหน้าที่ทหารเข้าปิดล้อมก็ใช้บริการจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์เข้าไปเก็บหลักฐาน จากนั้นหากเกิดการยิงปะทะ ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 ก็จะเข้าไปตรวจที่เกิดเหตุในภายหลัง จนหลายๆ ครั้งเกิดปัญหาตามมา"
"ถ้าสถาบันฯเข้าไปตรวจที่เกิดเหตุก่อนก็จะได้วัตถุพยานไปทั้งหมด เมื่อศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 เข้าไปตรวจทีหลังก็ไม่ได้อะไรเลย เพราะสภาพที่เกิดเหตุเละเทะหมดแล้ว หลักฐานก็ไม่มีให้เก็บ และแม้สถาบันฯจะส่งต่อพยานหลักฐานให้พนักงานสอบสวน แต่กฎหมาย (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หรือ ป.วิอาญา) ก็ให้อำนาจกับตำรวจว่าจะรับหรือไม่รับวัตถุพยานเหล่านั้นหรือไม่ก็ได้" พ.ท.นพ.เอนก ระบุ
ประเด็นที่ พ.ท.นพ.เอนก พูดถึง ถือเป็นปัญหามาเนิ่นนาน เพราะสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ไม่มีกฎหมายรองรับอำนาจหน้าที่อย่างชัดเจน ขณะที่ ป.วิอาญา ยังคงให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจรวบรวมพยานหลักฐานทุกชนิด รวมทั้งพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ หากจำเป็นต้องใช้ตัวอย่างเลือด เนื้อเยื่อ หรือสารพันธุกรรม ก็ยังให้อำนาจพนักงานสอบสวนขอให้แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญดำเนินการเก็บหลักฐานเหล่านั้น
ชัดเจนว่าหากไม่มีการประสานงานกัน หรือเก็บหลักฐานไปโดยพลการโดยที่พนักงานสอบสวนไม่ให้ความเห็นชอบ วัตถุพยานเหล่านั้นก็แทบจะสูญเปล่า
"การตรวจที่เกิดเหตุเป็นมาตรฐานหนึ่งของงานด้านนิติวิทยาสตร์ ซึ่งมีการกำหนดกฎเกณฑ์ไว้ว่า คนที่จะเข้าไปยังจุดเกิดเหตุได้ต้องเป็นคนที่มีอำนาจตามกฎหมายเท่านั้น กรณีของภาคใต้คือศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 ส่วนสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย เรื่องนี้เป็นไปตามหลักสากล"
"ฉะนั้นถ้าคุณเก็บวัตถุพยานโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เก็บโดยไม่มีอำนาจ วัตถุพยานเหล่านั้นก็ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในทางคดีได้ เพราะศาลจะไม่รับฟัง เนื่องจากศาลต้องยึดหลักนิติธรรม คดีลักษณะนี้เราพบกว่า 50% ในส่วนของคดีความมั่นคงชายแดนใต้ที่ศาลยกฟ้อง เพราะฉะนั้นเราจึงมีแนวคิดว่าจะต้องบูรณาการร่วมกัน ถ้าทำได้กระบวนการยุติธรรมในพื้นที่ต้องดีขึ้นแน่นอน"
แต่การสร้างกระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรมในพื้นที่ ไม่ได้มีเฉพาะเรื่องการตรวจที่เกิดเหตุเท่านั้น แต่ยังมีปัญหาเรื่องการบังคับใช้กฎหมายพิเศษ โดยเฉพาะพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) ซึ่งถูกต่อต้านจากคนในพื้นที่หลายกลุ่ม
ประเด็นนี้ พ.ท.นพ.เอนก ไม่ได้เสนอให้เลิกหรือใช้กฎหมายพิเศษต่อไป แต่เสนอแนวทางลดความจำเป็นของการใช้กฎหมายพิเศษลง โดยใช้เทคนิคทางนิติวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยแทน
"เรากำลังของบประมาณจัดซื้อเครื่องมือตรวจดีเอ็นเอแบบรวดเร็ว ราคาประมาณ 23 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสภา ถ้าได้เครื่องนี้มาเราจะนำไปตั้งไว้ที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร (อ.หนองจิก จ.ปัตตานี) เพื่อตรวจดีเอ็นเอผู้ต้องสงสัยก่อเหตุรุนแรง โดยเครื่องมือนี้ใช้เวลาตรวจดีเอ็นเอแค่ 4 ชั่วโมงก็รู้ผลแล้ว ก็จะสรุปได้เบื้องต้นว่ามีส่วนเกี่ยวพันกับเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องรอหลายวัน ฉะนั้นจะช่วยลดระยะเวลาการควบคุมตัวตามกฎหมายพิเศษได้มากทีเดียว และจะช่วยให้ญาติลดความหวาดระแวงเรื่องถูกซ้อมทรมานระหว่างการควบคุมตัวด้วย"
อีกโครงการหนึ่งที่ พ.ท.นพ.เอนก ไม่ได้คิดทำเฉพาะภาคใต้ แต่จะทำทั้งประเทศ คือการเก็บลายนิ้วมือ 10 นิ้ว ลายพิมพ์ฝ่ามือ และลายพิมพ์สันมือ ของประชาชนคนไทยทุกคนทั่วประเทศ เพื่อให้เป็น "ฐานข้อมูลแห่งชาติ"
"ถ้าเราไม่เก็บข้อมูลพวกนี้ไว้ให้มากที่สุด คนที่ไม่เคยก่ออาชญากรรม หรือไม่ได้อยู่ในแฟ้มทะเบียนประวัติอาชญากร ถ้าวันหนึ่งเขากระทำผิดขึ้นมา เราก็จะไม่สามารถติดตามตัวได้ หรือต้องใช้เวลานานจึงจะสามารถจับกุม เพราะไม่มีฐานข้อมูลมาเปรียบเทียบ ซึ่งในโลกยุคปัจจุบันหลายประเทศได้เก็บลายนิ้วมือ 10 นิ้ว ฝ่ามือ และลายสันมือของประชากรทั้งประเทศกันแล้ว"
"นอกจากนั้นในอนาคต สถาบันนิติวิทยาศาสตร์จะขอเก็บดีเอ็นเอประชากรเพื่อเป็นฐานข้อมูลแห่งชาติเช่นกัน โดยเน้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก่อน และจะทำให้สามจังหวัดเป็นเขตพิเศษ ไม่ใช่เขตปกครองพิเศษ ใครก็ตามจะเข้าไปในพื้นที่จะต้องถูกเก็บดีเอ็นเอ ต้องพิมพ์ลายนิ้วมือ ลายฝ่ามือและลายสันมือ ถ้าทำได้ใครทำอะไรผิดเราจะรู้หมด"
ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่าอาจเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้น พ.ท.นพ.เอนก กล่าวว่า ต้องให้นักการเมืองท้องถิ่น เช่น ส.ส.ในพื้นที่ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกองค์การบริหารส่วนตำบล หรือนายกเทศมนตรี ตลอดจนผู้นำที่ได้รับความไว้วางใจจากคนในพื้นที่ไปชี้แจงรายละเอียดข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้ทราบว่า สาเหตุที่ต้องทำแบบนี้ก็เพื่อป้องกันการก่อเหตุรุนแรง และการเก็บดีเอ็นเอไม่ใช่เก็บเฉพาะพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ขอเก็บจากประชาชนทั่วประเทศ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณ : ภาพ พ.ท.นพ.เอนก จากศูนย์ภาพเนชั่น