ถอดรหัส “ชาววี” ในวันประกาศ พักรบ (ชั่วคราว?) ผ่านมุมมอง “เจษฎ์ โทณะวณิก”
“การยุติการชุมนุมชั่วคราวนี้ ยังแสดงออกถึงภาวะของการรับผิดชอบมวลชน ที่ไม่จำเป็นต้องเดิน หน้าปะทะเสมอไป มีหยุดได้ รอได้ เปรียบเสมือนการชกชนะโดยไม่ต้องออกหมัด และชนะได้โดยไม่ต้อง ‘รบ’"

เรียกเสียงฮือฮา ได้ไม่น้อย เมื่อแฟนเพจ “ V For Thailand” ซึ่งเป็นช่องทางการสื่อสารหลักในการนัดกลุ่มคนหน้ากากขาวทำกิจกรรม ได้ประกาศ “พักกิจกรรม” ในกรุงเทพฯ เพื่อให้แต่ละกลุ่มไปทบทวนบทบาทของตัวเอง เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา
ท่ามกลางคำถามค้างคาใจใครหลายคน ว่า เกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มชาว “วี” กันแน่?
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org มีโอกาสสนทนา กับ รศ.ดร. เจษฎ์ โทณะวณิก คณะบดีบัณฑิตวิทยาลัย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม เพื่อถอดรหัสสัญญาณ ของชาววี ที่เกิดขึ้นล่าสุด พร้อมมุมมองที่มีต่อชาววี ในฐานะผู้ที่เฝ้ามองการชุมนุมครั้งนี้อย่างเปิดกว้างและตั้งคำถามไปพร้อมกัน นับแต่กลุ่มวีเริ่มเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก กระทั่งตัดสินใจเดินเกม ‘ถอยทัพ’ ไม่มีปี่ไม่มีขลุยครั้งนี้
“ การกระทำดังกล่าว คือ การแสดง ‘ความรับผิดชอบ’ ต่อมวลชน ที่ไม่จำเป็นต้องเดินหน้าชุมนุมอย่างไร้รูปแบบและพร่ำเพรื่อจนเกินไปทั้งเป็นการแสดงออกที่ชี้ให้เห็นว่าผู้ก่อตั้งกลุ่มวี ไม่มุ่งที่จะ ‘เอาชนะ’ แต่พวกเขามองไปในสิ่งที่ไกลและเป็นรูปธรรมกว่านั้น”
รศ.ดร. เจษฎ์ แสดงทัศนะ เมื่อถูกตั้งคำถามถึงแถลงการณ์ยุติการชุมนุมในกรุงเทพมหานครเพื่อให้สมาชิกชาววี ได้มีโอกาสใคร่ครวญแนวความคิดและการเคลื่อนไหวของตนเอง ตามที่ปรากฏข่าวล่าสุด
รศ.ดร. เจษฎ์ ยังระบุด้วยว่า การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุดก็อาจมีผลบ้างต่อการระงับการชุมนุม พวกเขาอาจเฝ้ารอดูทีท่าของรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เฝ้ารอที่จะตรวจสอบและติดตามอย่างจริงจัง กระทั่งในท้ายที่สุด พวกเขาอาจผลักดันให้เกิด ‘สัญญาประชาคม’ ที่เรียกร้องให้รัฐบาลทุกรัฐบาลและพรรคการเมืองทุกพรรคการเมือง ทำสัญญาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรกับประชาชนว่านักการเมือองเหล่านั้น พรรคการเมืองเหล่านั้น ได้ให้สัญญาอะไรไว้กับประชาชนบ้างและทำได้อย่างที่พูดหรือไม่?
“การยุติการชุมนุมชั่วคราวนี้ ยังแสดงออกถึงภาวะของการรับผิดชอบมวลชน ที่ไม่จำเป็นต้องเดิน หน้าปะทะเสมอไป มีหยุดได้ รอได้ เปรียบเสมือนการชกชนะโดยไม่ต้องออกหมัด และชนะได้โดยไม่ต้อง ‘รบ’ การยุติการชุมนุมในครั้งนี้ของกลุ่มวี จึงสะท้อนนัยอย่างสำคัญต่อการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์ที่ถูกตั้งไว้แต่แรกหรือไม่ก็ตาม แถลงการณ์ครั้งนี้ของวี ได้เพิ่มอำนาจต่อรองให้แก่ “ประชาชน” ทั้งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาจะไม่ยอมให้มีผลประโยชน์ หรือมีสิ่งใดมาครอบงำแนวความคิด ทั้งพยายาม ‘กัน’ ตัวเองออกจากกลุ่มต่างๆ”
กรณีของ "วี" จึงอาจสะท้อนได้ถึงการชุมนุมของกลุ่มอื่นๆ ก่อนหน้านี้ อาทิ กลุ่มพันธมิตรฯ ที่เมื่อแรกเริ่มประชาชนเข้าร่วมจำนวนมาก ทว่าเมื่อมีการจัดตั้งพรรคการเมือง ก็สูญเสียมวลชนและไม่มีใครเลือกเลย ดังนั้น การแสดงออกของผู้ก่อตั้งกลุ่มวี ในครั้งนี้ จึงเป็นนัยที่เขาต้องการประกาศให้สังคมเห็นว่าตนเองมีความชัดเจน ไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับฝ่ายใด นอกจากการโค่นล้มรัฐบาลคอร์รัปชั่น นับจากนี้และในอนาคต วี จึงต้องพิสูจน์ตนเองให้ได้และตอบสังคมให้ชัดเจน ว่าพวกเขาจะทำเพื่อประเทศชาติ ประชาชน จะตั้งพรรคการเมือง หรือไม่ตั้งพรรคการเมืองก็ต้องแสดงออกมาให้ชัดเจน แต่อย่างน้อย ‘ความสงบสยบความเคลื่อนไหว’ ในหมากนี้ ก็เป็นจุดเริ่มต้นในการแสดงให้เห็นว่า พวกเขา ‘รอ’ ได้ และผู้ที่เฝ้ารอชัยชนะในการรบได้นั้น ย่อมมียุทธวิธีทางความคิดที่ไม่ธรรมดา
จึงกล่าวได้ว่าแถลงการณ์ล่าสุดของกลุ่มวี ได้ยกระดับการเคลื่อนไหวของพวกเขา ให้กลายเป็น กลุ่มก้อนของพลังภาคประชาชนที่น่าจับตามอง
“แถลงการณ์ยุติการชุมนุมครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า เมื่อต้องแบกอุดมการณ์นำ เขาก็แบกได้ เมื่อต้องถอยเขาก็ถอยได้ และถ้าหากเขารอเพื่อพิจารณาอะไรหลายๆ อย่าง แล้วในที่สุดเขานำหลักการและอุดมการณ์ที่มีอยู่ ไปทำให้มันเป็นรูปธรรมขึ้นมาได้ เมื่อนั้น เขาจะยิ่งมีอำนาจต่อรองสูง”
ส่วนความคิดเห็นในเฟซบุ๊ค วี ฟอร์ไทยแลนด์ ที่มีกระแสทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยเครือข่ายชาววีหลายจังหวัด ก็ได้โพสต์ยืนยันว่าจะจัดการชุมนุมต่อไปในวันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคมนั้น
รศ.ดร. เจษฎ์ มองว่า ท้ายที่สุด ด้วยพลัง ศักยภาพและความเข้มแข็งของกลุ่ม การเชื่อมต่อพูดคุยกันระหว่างผู้ก่อตั้งและแกนนำเครือข่ายในแต่ละพื้นที่ จะสามารถสร้างความเข้าใจกับชาววีได้ไม่ยากนัก
สำหรับปรากฏการณ์หน้ากากขาว หรือ วี ในช่วงที่ผ่านมา รศ.ดร. เจษฎ์ มองว่าประการแรกสุด การเกิดขึ้นของชาววี ไม่ต่างจากสุภาษิต ‘ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว’ เพราะหากมองอย่างเรียบง่าย หน้ากากขาวถูกริเริ่มขึ้นจากการที่มีคนได้ชมภาพยนตร์ ‘วี ฟอร์ เวนเดดต้า’ แล้วเกิดความคิดว่าประชาชนก็น่าจะแสดงพลังโค่นล้มหรือขับไล่อำนาจเผด็จการเหมือนอย่างในภาพยนตร์บ้าง
@@ ปลุกพลังผ่านสังคมออนไลน์
ขณะเดียวกัน รูปแบบการขับเคลื่อนนั้นก็สามารถปรับเปลี่ยนพลิกแพลงได้เพื่อให้เข้ากับบริบทของสังคม ณ ช่วงเวลานั้นๆ ไม่ต่างจากที่ครั้งหนึ่งสังคมไทยก็เป็นสังคมของการชุมนุมแบบ “เสื้อสี” จากนั้นจึงก้าวเข้าสู่การชุมนุมโดยใช้ ‘สัญลักษณ์’ ของกลุ่มหน้ากากขาว ทั้งชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของ การ ‘เข้าร่วม’ ชุมนุม เพราะคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการชุมนุมของคนเสื้อเหลืองนั้น มีจุดเริ่มต้นและศูนย์กลางอยู่ที่กรุงเทพฯ
ส่วนการชุมนุมของคนเสื้อแดงนั้นก็มีกำลังสำคัญอยู่ที่กลุ่มผู้ชุมนุมในต่างจังหวัด
ขณะที่กลุ่มหน้ากากขาวนั้นมีการปลุกพลังและกระจายรูปแบบไปทั่วประเทศในระยะเวลาอันรวดเร็วผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊คแสดงให้เห็นถึงพลังของการสื่อสารผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์อันทรงประสิทธิภาพ
กระนั้น ในทัศนะของ รศ.ดร. เจษฎ์ หลักการที่ผ่านๆ มาของกลุ่มหน้ากากขาวก็ยังก้าวไปไม่ถึงการนำเอา ‘อำนาจของประชาชน’ มาแปรเป็นพลังในการตรวจสอบรัฐบาลที่จับต้องได้จริงและยั่งยืน พวกเขาต้องเปลี่ยนพลังให้เป็น ‘หลักการ’ ที่สร้าง ‘อำนาจ’ ให้อยู่ในมือประชาชน เพราะการขับเคลื่อนของภาคประชาชนจะเกิดประโยชน์สูงสุดก็ต่อเมื่อสามารถผลักดันให้ประชาชนมีอำนาจต่อรอง กระทั่งนำไปสู่การกำเนิดขึ้นของกฎหมายที่มีเจตนารมณ์ ‘เพื่อประชาชน’ ให้ความคุ้มครอง ปกป้องประชาชนอย่างเป็นธรรม
เช่นนี้แล้ว หากโซเชียลเน็ตเวิร์คอย่างเฟซบุ๊คคือหนึ่งในอาวุธสำคัญของกลุ่มหน้ากากขาว สมาชิกกลุ่มเหล่านี้ ก็ควรใช้พลังของโซเชียลเน็ตเวิร์คให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยการร่วมกันนำเสนอหลักการที่นำไปใช้ได้จริง ก่อเกิดผลปฏิบัติในทางกฎหมายหรืออาจผลักดันให้เกิดกฎหมายที่คุ้มครอง ‘การชุมนุมโดยสันติ’ ได้อย่างสันติจริงๆ เพราะในปัจจุบันนี้ กฎหมายการชุมนุมของไทยยังไม่ครอบคลุมถึงการบัญญัติให้เจ้าหน้าที่รัฐมีหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่ออกมาชุมนุมอย่างสงบ
@@ ประชาชนต้องเปลี่ยน ‘พลัง’ เป็น ‘อำนาจ’ ที่จับต้องได้
รศ.ดร. เจษฎ์ ยังกล่าวย้ำด้วยว่า ประชาชนต้องศึกษากฎหมายและก้าวเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขหรือเสนอร่างกฎหมาย นอกจากนั้น กลไกการตรวจสอบของภาคประชาชนก็ต้องเข้มแข็งและจริงจัง ในประเทศที่เจริญแล้วประชาชนล้วนเข้าใจสิทธิของตนตามรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น เราจะทำอย่างไร ให้ประชาชนในสังคมไทยเกิดความตระหนักร่วมกันและมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางประเทศ กลุ่มหน้ากากขาวควรจะใช้พลังแห่งโซเชียลเน็ตเวิร์คกระตุ้นให้ทั้งสังคมเกิดการอภิปรายร่วมกัน กระทั่งนำไปสู่หลักการที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้อย่างเป็นรูปธรรม
เช่น อาจเริ่มได้ด้วยการผลักดันให้เกิดการร่างหรือแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมและมีอำนาจอาทิ การผลักดันเรื่องความสำคัญของคะแนนเสียงเสียงที่ ‘ไม่ประสงค์จะลงคะแนน’ ในการเลือกตั้ง ให้กลายเป็นพลังสำคัญในการกำหนดทิศทางการเมืองของประเทศ เพราะตอนนี้ยังไม่มีกฎหมายที่ให้ความสำคัญกับพลังตรงส่วนนี้มากพอ
ทั้งที่จริงแล้วกฎหมายควรจะกำหนดให้ผู้สมัครที่ได้รับคะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่งในแต่ละเขตการเลือกตั้งนั้น ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่าคะแนนเสียงที่ “ไม่ประสงค์จะลงคะแนน” ด้วย ควรต้องบัญญัติให้ชัดเจนว่าแม้จะมีคะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่ง แต่หากคะแนนเสียงที่ได้มายังน้อยกว่าจำนวนของเสียงที่ ‘ไม่ประสงค์จะลงคะแนน’ นั่นย่อมหมายความว่าผู้สมัครที่ได้คะแนนเสียงเหนือผู้สมัครคนอื่น ก็ยัง ‘สอบตก’ และต้องมีการเลือกตั้งใหม่จนกว่าจะมีผู้แทนที่ประชาชนยอมรับ
หากทำได้เช่นนี้ ประชาชนทุกคนจะเห็นความสำคัญของ ‘การเลือกตั้ง’ ทั้งเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าประชาชนก็มีอำนาจในการกำหนดทิศทางประเทศ ซึ่งในประเด็นการขับเคลื่อนเรื่อง ‘โหวตโน’ นี้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็เคยผลักดันมาแล้ว เพียงแต่ยังไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะในจุดมุ่งหมายครั้งนั้นพันธมิตรฯ อาจมีนัยที่ไม่ต้องการ “ผู้แทนฯ” เพราะไม่เชื่อมั่นว่าจะมีผู้แทนคนใดเหมาะสมพอ แต่ในความเห็นของ รศ.ดร. เจษฎ์ นั้น ผู้แทนฯ ยังจำเป็น แต่ประชาชนทุกคน ต้องร่วมกันแสดงพลังและอำนาจเพื่อกำหนดคุณสมบัติของผู้แทนด้วยการกากบาทลงในช่อง ‘ไม่ประสงค์จะลงคะแนน’ จนกว่าจะมีผู้แทนที่ควรค่าแก่การลงคะแนนให้
เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อย แต่หากสามารถนำพลังและอำนาจของประชาชนมาใช้ได้อย่างทรงพลังและเที่ยงธรรม เมื่อนั้น การเคลื่อนพลชุมนุมก็ไม่จำเป็นต้องมีบ่อยครั้งหรือมีอย่างไร้รูปแบบไปเรื่อยๆ ดังนั้น จึงควรอย่างยิ่งที่จะผลักดันพลังบริสุทธิ์ของประชาชนให้สามารถก้าวเข้าสู่ ‘ระบบ’ และกำหนดทิศทางการบริหารประเทศได้อย่างแท้จริง
ทั้งหมดนี้ ข้อสังเกตที่ในมุมมองของนักวิชาการ ที่มีต่อการเคลื่อนไหวของกลุ่ม วี ฟอร์ ไทยแลนด์ ที่กำลังถูกจับตามองจากสังคมในขณะนี้
