เด่น โต๊ะมีนา : เจรจาสำเร็จยากหากรัฐยังมองบีอาร์เอ็นเป็นโจร
พลันที่ตัวแทนรัฐบาลไทยลงนามในข้อตกลงริเริ่มกระบวนการพูดคุยสันติภาพกับแกนนำกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ นำโดยขบวนการบีอาร์เอ็นกลุ่มของ นายฮัสซัน ตอยิบ เมื่อ 28 ก.พ.2556 หลายฝ่ายในประเทศไทยโดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนใต้ได้ออกมาขานรับ และบอกว่าเริ่มมองเห็นเส้นทางสายสันติภาพแล้ว ขณะที่บางฝ่ายวาดหวังถึงสันติสุขที่ปลายทางของถนนสายนี้
แต่ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่ประเมินว่าสันติภาพและสันติสุขไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ จากเงื่อนไขหลายอย่างที่ก่อให้เกิดกระบวนการสันติภาพนี้ขึ้น ซึ่งหลายคนอาจหลงลืมหรือเลือกที่จะมองข้ามไป
เด่น โต๊ะมีนา นักการเมืองกลุ่มวาดะห์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย อดีต ส.ส.และอดีตสมาชิกวุฒิสภาจากปัตตานี ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เห็นว่าการพูดคุยเจรจากับบีอาร์เอ็นหนนี้ยังไม่มีสัญญาณที่จะนำไปสู่ความสงบสุขหรือลดเหตุรุนแรงลงได้
นับเป็นทัศนะที่น่าค้นหาเหตุผล เพราะ เด่น โต๊ะมีนา คือผู้ที่ได้รับการยอมรับว่ามีประสบการณ์ตรงกับปมขัดแย้งที่ชายแดนใต้มากที่สุดคนหนึ่ง เขาคือลูกชายของ ฮัจญีสุหลง ที่ถูกคนของทางการอุ้มหาย กลายเป็นประวัติศาสตร์บาดแผลหนึ่งของผู้คนที่ชายแดนใต้ เพราะ ฮัจญีสุหลง เปรียบเสมือนผู้นำทางจิตวิญญาณของคนมลายูมุสลิมในยุคนั้น (ฮัจญีสุหลง ถูกอุ้มหายเมื่อปี พ.ศ.2497)
เด่น ในวัย 79 ปี บอกว่า การพูดคุยระหว่างขบวนการบีอาร์เอ็นกับรัฐบาลไทยนั้น ถ้าพิจารณาจากเสียงของประชาชนผู้มีใจบริสุทธิ์แล้ว ต้องยอมรับว่าทุกคนดีใจและตั้งความหวังสูงมาก เนื่องจากอยากให้พื้นที่กลับมาสงบสุขอีกครั้ง
แต่โดยความเห็นส่วนตัวคิดว่า การพูดคุยแบบนี้ไม่ได้ประโยชน์อะไรมากมาย บีอาร์เอ็นรู้สึกว่าตนเองเข้าสู่ขั้นตอนการเจรจาแล้ว เพราะมีการเสนอข้อเรียกร้อง 5 ข้อกลับมายังรัฐบาลไทย แต่ฝ่ายรัฐบาลไทยกลับยังบอกว่าเป็นช่วงของการพูดคุยกันอยู่ มีเป้าหมายแค่ทำความรู้จัก สร้างความสนิทสนมจากการพูดคุยกันเท่านั้น
"ถ้าเป็นอย่างนี้คงสำเร็จยาก บางคนยังพูดอยู่ว่าไปเจรจากับโจรจะสงบได้อย่างไร ยังไปคิดว่าอีกฝ่ายเป็นโจร แบบนี้คงไม่สำเร็จ เพราะการเจรจาต้องให้ความเคารพอีกฝ่ายหนึ่งด้วย"
เด่น ชี้ว่า จุดเริ่มต้นของกระบวนการสันติภาพรอบนี้มาจากความต้องการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยไปพบปะและพูดคุยกับ นายนาจิบ ราซัก นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย จากนั้นทางการมาเลย์ก็บีบบังคับกดดันแกนนำบีอาร์เอ็นให้เข้าสู่กระบวนการพูดคุย
"จุดยืนของพวกนี้ (บีอาร์เอ็น) คือไม่ยอมเจรจา ฉะนั้นการมาร่วมวงพูดคุย เป็นการมาเพราะถูกกดดัน ไม่ได้ต้องการมาเจรจาจากใจจริง"
เด่น กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมามีการตั้งคำถามว่า ฮันซัน ตอยิบ หัวหน้าคณะพูดคุยฝ่ายบีอาร์เอ็นเป็นตัวจริงหรือเปล่า เรื่องนี้แม้ พล.อ.สำเร็จ ศรีหร่าย ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งศึกษาโครงสร้างบีอาร์เอ็นมานานได้ยืนยันว่าเป็นตัวจริง แต่ส่วนตัวเห็นว่าเป็นอดีตตัวจริง ปัจจุบันมีเพาเวอร์แค่ไหน เพราะข้อเท็จจริงคือถูกมาเลเซียบีบ เมื่อถูกบีบมากๆ ก็ต้องยอมคุย ไม่อย่างนั้นก็พำนักอยู่ในมาเลเซียไม่ได้
"เรายังมองเขาเป็นโจร และเขาก็ถูกบีบให้มาพูดคุย ไม่ได้เต็มใจ สองเงื่อนไขนี้ทำให้สำเร็จยาก" เด่น สรุป
เมื่อซักว่าถ้าถูกมาเลเซียบีบมากๆ สุดท้ายฝ่ายขบวนการก็ต้องยอมเข้าสู่กระบวนการเจรจาใช่หรือไม่ เด่น ส่ายหน้า และว่ายังมีแผ่นดินให้ไปได้อีก
"ถ้าบีบหนักๆ ผมว่าเขาก็ไปอินโดนีเซีย และอินโดฯก็น่าจะอนุญาตให้ไปด้วย เพราะอินโดฯก็ไม่พอใจไทยเรื่องติมอร์ (หมายถึงประเทศติมอร์-เลสเต ที่ประกาศเอกราชโดยแยกตัวจากอินโดนีเซีย และไทยเข้าไปมีส่วนร่วมในกองกำลังรักษาสันติภาพของยูเอ็น)"
แต่กระนั้น ลูกชายฮัจญีสุหลง ซึ่งเลือกต่อสู้ในแนวทางการเมืองภายใต้ระบบรัฐสภาไทย มองว่า การเข้าสู่กระบวนการพูดคุยสันติภาพ แม้จะไม่เต็มใจ แต่ก็เป็นช่องทางที่ฝ่ายขบวนการใช้พิสูจน์ความจริงใจของรัฐบาลไทยด้วย
"เขาก็คงดูว่าไทยจริงใจแค่ไหน ก็เลยเสนอ 5 ข้อเรียกร้องว่าจะไปได้แค่ไหน แต่แน่นอนว่ายิ่งเจรจา เหตุการณ์จะยิ่งรุนแรงขึ้น ไม่เบาลงหรอก เพราะความรุนแรงเป็นการเพิ่มอำนาจต่อรอง ฉะนั้นความรุนแรงจะไม่จบลง"
เด่น ยุติความเห็นของเขาลงเพียงเท่านี้ โดยปฏิเสธที่จะตอบว่ารัฐบาลไทยจริงใจจริงจังกับการเจรจาและการแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่!