"ธีระชัย" ซัด ก.พาณิชย์ น่าละอายแจงตัวเลขขาดทุนจำนำข้าวไม่ได้
"ธีระชัย" อดีต รมว.คลัง ซัด ก.พาณิชย์ น่าละอาย แจงตัวเลขขาดทุนจำนำข้าวไม่ได้ จี้ปฏิบัติตามหลักการบัญชี เปิดตัวเลขชัดเจน เย้ยตั้งใจจริงทำงานได้ไม่ยาก ชี้เอาเงินภาษีไปใช้ บอกตัวเลขไม่ได้ประชาชน ผู้ควักเงินพังแน่

กรณี นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังนางวัชรี วิมุกตายน ปลัดกระทรวงพาณิชย์และตัวแทนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ร่วมกันเปิดแถลงข่าวชี้แจงข้อมูลโครงการรับจำนำข้าว ภายหลังมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงตัวเลขการขาดทุนโครงการที่อาจสูงถึง 2.6 แสนล้านบาท โดยยืนยันว่า ตัวเลขขาดทุนจำนวน 2.6 แสนล้านบาท ไม่มีอยู่จริง แต่ไม่สามารถยืนยันตัวเลขที่ขาดทุนจริงได้ เนื่องจากยังไม่ปิดบัญชีโครงการ ตัวเลขยังไม่นิ่ง จึงไม่สามารถสรุปตัวเลขใดๆ ได้ นั้น
(อ่านประกอบ : บุญทรง-ณัฐวุฒิ งุบงิบแจงจำนำข้าว อุบตัวเลข-ข้อมูลตอบไม่ได้)
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า ในช่วงเย็นวันที่ 8 มิถุนายน 2556 ที่ผ่านมา นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้แสดงความเห็นผ่าน เฟซบุ๊ก ส่วนตัวใช้ชื่อว่า Thirachai Phuvanatnaranubala ระบุว่า เมื่อวานนี้ รัฐมนตรีพาณิชย์แถลงว่ายังไม่สามารถคำนวณกำไรขาดทุนจำนำข้าวได้ เพราะต้องรอให้ขายข้าวจนหมดเสียก่อน เฮ้อ!!! ฟังแล้วลมจับ สงสัยจะต้องรอไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานเสียแล้ว
กระทรวงพาณิชย์มีหน้าที่กำกับดูแลนักบัญชีทั่วประเทศ แต่กลับไม่ปฏิบัติตามหลักการบัญชีเสียเอง เป็นที่น่าละอายมากนะครับ
ถ้าบริษัทธุรกิจเอกชนขอใช้หลักการนี้บ้าง จะได้หรือไม่ กรณีบริษัทซื้อสินค้ามาล็อตใหญ่ ขายไปเพียงบางส่วน ที่เหลือยังค้างอยู่ในสต็อก จะขออ้างว่า เนื่องจากยังมีสินค้าที่ขายไม่หมด ก็เลยขอยังไม่ปิดบัญชีประจำปี
ธุรกิจเอกชนจะขอทำเหมือนกระทรวงพาณิชย์ ได้หรือไม่ครับ
ข้าราชการกระทรวงการคลัง ควรจะชี้แนะหรือประท้วงพฤติกรรมของข้าราชการกระทรวงพาณิชย์นะครับ เพราะหากบริษัทเอกชน ต่างหันใช้หลักการเดียวกันนี้ บริษัทจะไม่มีการปิดบัญชีกำไรขาดทุน แล้วกระทรวงการคลังจะเก็บภาษีประจำปีกันอย่างไรเล่าครับ
ผมก็บังเอิญเคยเรียนวิชาสอบบัญชีที่ประเทศอังกฤษ จึงขออธิบายหลักวิธีทางบัญชีไว้ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจนะครับ
ก. ทุกองค์กร ต้องมีการปิดบัญชีเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ อาจจะเป็นทุกเดือน หรือทุกสามเดือน ทุกหกเดือน หรือทุกสิบสองเดือนก็ได้ แต่โดยทั่วไปต้องไม่เกินรอบสิบสองเดือน
ต่อไปนี้ สมมุติต้องการปิดบัญชี ณ วันที่ 31 มกราคม 2556 (เพื่อให้ตรงกับของคณะกรรมการปิดบัญชี) ก็ให้หาข้อมูลสามบรรทัดตามนี้
ข. จนถึงวันที่ดังกล่าว รัฐบาลใช้เงินไปในการรับจำนำสะสมเป็นจำนวนเท่าใด ก็ตั้งไว้เป็นบรรทัดแรก
ค. จนถึงวันที่ดังกล่าว รัฐบาลขายข้าวไปทั้งสิ้นได้เงินเท่าใด ก็ใส่เป็นบรรทัดที่สอง
ง. ณ วันที่ดังกล่าว มีการตรวจนับสต็อกโดยบุคคลที่เชื่อถือได้หรือยัง เขาพบว่ามีข้าวอยู่จริงๆ เท่าใด ให้ใช้เฉพาะตัวเลขที่นับ สต็อกเหลืออยู่จริงๆ
จ. สต็อกข้าวที่มีอยู่ ณ วันที่ดังกล่าว มีคุณสมบัติและสภาพเฉลี่ยอย่างไร ให้ตีตามราคาตลาดในวันนั้น โดยลดทอนราคาตลาดลงตามสภาพเฉลี่ย เป็นบรรทัดที่สาม
ช. กำไรขาดทุน ก็คือคำนวณโดยเอาบรรทัดแรก ลบด้วย บรรทัดที่สอง และ บรรทัดที่สาม เท่านั้นเอง
ท่านผู้อ่านจะเห็นได้นะครับ ว่าถ้าจะตั้งใจทำกันจริงๆ แล้ว จะไม่ยากเย็นอะไรเลย
วันนี้มีผู้สื่อข่าวถามผม ว่ากรณีนี้ จะเป็นต้นเหตุให้รัฐบาลพังหรือไม่ ผมตอบว่าไม่ทราบ เพราะไม่ชำนาญด้านการเมือง
แต่ผมอยากจะตอบในที่นี้ ถึงแม้ผมไม่ทราบว่ารัฐบาลจะพังหรือไม่
แต่ที่ผมทราบแน่ๆ ก็คือในฐานะประชาชนผู้เสียภาษี พวกเราพังกันหมดแล้วครับ
ถ้าใช้ตัวเลขขาดทุนแบบกลมๆ 2 แสนล้าน เฉลี่ยต่อคนสำหรับคนไทยทั้ง 67 ล้านคน ก็เป็นเงินคนละเกือบ 3 พันบาทแล้วครับ นี่นับหัวเฉลี่ยลูกเด็กเล็กแดงไปด้วยทุกๆ คน
แต่ผมคิดว่าคนที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในแต่ละปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างกินเงินเดือนนั้น คงมีไม่ถึง 5 ล้านคน ถ้าใช้ตัวเลข 5 ล้านคนที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นตัวหาร ภาระจะตกคนละ 4 หมื่นบาททีเดียวครับ
ถ้าขาดทุนบานออกไปเป็น 3 แสนล้าน ภาระก็จะเพิ่มเป็นคนละ 6 หมื่นบาท
รัฐมนตรีคลังกับรัฐมนตรีพาณิชย์ร่วมกันสร้างภาระให้แก่ประชาชนมากขนาดนี้ ก็ควรจะปิดบัญชีให้เขาดูกันหน่อยซิครับ ประชาชนเขาจะได้รู้สึกว่ามันคุ้มค่ากับเลือดที่ไหลออกไปกันหน่อย
