ประธานศาลฎีกาไฟเขียวใช้“จอภาพ”สืบพยานบุคคลพำนักในต่างประเทศ
ประธานศาลฎีกาออกข้อกำหนดแนวทางสืบพยานบุคคลอยู่นอกศาลโดยระบบการประชุมทางจอภาพ รวมบุคคลที่พำนักในต่างประเทศ เบิกความ ตอบคำถามซักค้านได้ มีผลใช้แล้ว

สำนักข่าวอิศรา www.isranew.org รายงานว่า เมื่อ วันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ นายไพโรจน์ วายุภาพ ประธานศาลฎีกา ได้ออกข้อกำหนดว่าด้วยแนวทางการนำสืบพยานหลักฐานและการสืบพยานบุคคลที่อยู่นอกศาลโดยระบบการประชุมทางจอภาพ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยมีผลบังคับใช้ บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (ประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๖) เนื้อหาในข้อ ๑๗ จากทั้งหมด ๒๑ ข้อ คือ ใช้แนวทางดังกล่าวสำหรับพยานมีถิ่นที่อยู่ในต่างประเทศได้
ทั้งนี้ ข้อ ๑๗ ระบุว่า ในกรณีที่พยานมีถิ่นที่อยู่ในต่างประเทศ ศาลที่พิจารณาคดีอาจให้พยานเบิกความณ สถานที่ที่เหมาะสม และมีความพร้อมที่จะให้พยานเบิกความโดยระบบการประชุมทางจอภาพก็ได้
ทั้งนี้ ให้นำความในข้อ ๗ ถึงข้อ ๑๕ มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่บุคคลที่เป็นสักขีพยานไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าพนักงานศาลหากสถานที่ตามวรรคหนึ่งเป็นศาลในต่างประเทศ ให้ดำเนินการตามข้อตกลงระหว่างกันหรือธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างประเทศ แล้วแต่กรณี
ข้อ ๑๘ ในกรณีที่ศาลอนุญาตให้เสนอบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของผู้ให้ถ้อยคำซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในต่างประเทศต่อศาลแทนการนำพยานมาเบิกความต่อหน้าศาล ตามมาตรา ๑๒๐/๒แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลอาจให้ผู้ให้ถ้อยคำเบิกความตอบคำถามค้านและคำถามติงของคู่ความโดยระบบการประชุมทางจอภาพก็ได้ ทั้งนี้ ให้นำความในข้อ ๑๗ มาใช้บังคับโดยอนุโลมข้อกำหนดว่าด้วยแนวทางการนำสืบพยานหลักฐานและการสืบพยานบุคคลที่อยู่นอกศาลโดยระบบการประชุมทางจอภาพ พ.ศ. ๒๕๕๖ มีเนื้อหาดังนี้
โดยที่เป็นการสมควรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับแนวทางการนำสืบพยานหลักฐานและการสืบพยานบุคคลที่อยู่นอกศาลโดยระบบการประชุมทางจอภาพ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๐๓/๓ และมาตรา ๑๒๐/๔ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประธานศาลฎีกาโดยความเห็นชอบของที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา จึงออกข้อกำหนดไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ข้อกำหนดนี้เรียกว่า “ข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาว่าด้วยแนวทางการนำสืบ
พยานหลักฐานและการสืบพยานบุคคลที่อยู่นอกศาลโดยระบบการประชุมทางจอภาพ พ.ศ. ๒๕๕๖”
ข้อ ๒ ข้อกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ในข้อกำหนดนี้
“ศาล” หมายความว่า ศาลยุติธรรมหรือผู้พิพากษาที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง
และหมายความรวมถึง ศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค หรือศาลชั้นต้น แล้วแต่กรณี
“เจ้าพนักงานศาล” หมายความว่า ข้าราชการศาลยุติธรรมซึ่งปฏิบัติหน้าที่ด้านกฎหมาย
ระดับชำนาญการขึ้นไป หรือสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโททางกฎหมาย หรือเป็นสามัญสมาชิกแห่ง
เนติบัณฑิตยสภา ในกรณีที่ไม่มีข้าราชการศาลยุติธรรมดังกล่าว ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลอาจมอบหมายให้
ข้าราชการศาลยุติธรรมคนหนึ่งไปทำหน้าที่เจ้าพนักงานศาลก็ได้
ข้อ ๔ ให้ประธานศาลฎีการักษาการตามข้อกำหนดนี้
หมวด ๑
การแต่งตั้งเจ้าพนักงานศาลหรือเจ้าพนักงานอื่นให้ทำการสืบพยานหลักฐานนอกศาล
ข้อ ๕ ในกรณีที่ศาลแต่งตั้งเจ้าพนักงานศาลหรือเจ้าพนักงานอื่นให้ทำการสืบพยานหลักฐานนอกศาลตามมาตรา ๑๐๓/๑ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้
(๑) การสืบพยานบุคคล ให้เจ้าพนักงานศาลหรือเจ้าพนักงานอื่นจัดทำบันทึกคำเบิกความของพยานและอ่านให้พยานฟังและให้พยานลงลายมือชื่อไว้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๙ และ ๕๐ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เว้นแต่การบันทึกคำเบิกความนั้นเป็นการบันทึกลงในวัสดุซึ่งสามารถถ่ายทอดออกเป็นเสียง หรือภาพและเสียงซึ่งสามารถนำออกถ่ายทอดได้อย่างต่อเนื่อง
(๒) การสืบพยานหลักฐานอื่น ให้เจ้าพนักงานศาลหรือเจ้าพนักงานอื่นจัดทำบันทึกการตรวจสอบ
พยานหลักฐานดังกล่าวไว้โดยละเอียด และอ่านให้คู่ความฟัง เว้นแต่การจัดทำบันทึกการตรวจสอบ
พยานหลักฐานนั้นเป็นการบันทึกลงในวัสดุซึ่งสามารถถ่ายทอดออกเป็นภาพ เสียง หรือภาพและเสียง
ซึ่งสามารถนำออกถ่ายทอดได้อย่างต่อเนื่อง
ในกรณีที่เจ้าพนักงานอื่นได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ศาลอาจมอบให้
เจ้าพนักงานศาลคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานดังกล่าวด้วยก็ได้ให้เจ้าพนักงานศาลหรือเจ้าพนักงานอื่นจัดทำรายงานการดำเนินการเสนอต่อศาล โดยให้คู่ความหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องลงลายมือชื่อไว้ด้วย หากไม่อาจดำเนินการได้ ให้บันทึกเหตุแห่งการนั้นไว้
หมวด ๒
การสืบพยานหลักฐานตามวิธีการที่คู่ความตกลงกัน
ข้อ ๖ ในกรณีที่ศาลอนุญาตให้สืบพยานหลักฐานตามวิธีการที่คู่ความตกลงกันตามมาตรา ๑๐๓/๒
แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ถ้าจะต้องดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งมิได้กระทำต่อหน้าศาล
ศาลอาจมอบให้เจ้าพนักงานศาลคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ดูแล ตรวจสอบ บันทึกการตรวจสอบ และรายงานให้ศาลทราบก็ได้
การจัดทำบันทึกและรายงานของเจ้าพนักงานศาลตามวรรคหนึ่งให้นำความในข้อ ๕ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
หมวด ๓
การสืบพยานบุคคลที่อยู่นอกศาลโดยระบบการประชุมทางจอภาพ
ข้อ ๗ ในคดีที่ต้องสืบพยานหลักฐาน เมื่อถึงวันนัดพร้อมคู่ความทุกฝ่ายหรือนัดชี้สองสถาน
ในการประชุมคดี ศาลอาจสอบถามคู่ความที่มาศาลด้วยว่ามีพยานบุคคลที่อยู่นอกศาลหรือไม่ หากมี
และคู่ความฝ่ายที่อ้างพยานร้องขอให้ศาลทำการสืบพยานนั้นโดยระบบการประชุมทางจอภาพ โดยให้
เหตุผลความจำเป็นที่ไม่สามารถนำพยานมาเบิกความที่ศาลนั้นได้ ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและการสืบพยานไม่ยุ่งยากจนเกินไปโดยคำนึงถึงเอกสารรวมทั้งวัตถุพยานที่เกี่ยวข้อง และสถานที่ที่จะให้พยานไปเบิกความโดยระบบการประชุมทางจอภาพได้จัดวางระบบรองรับไว้แล้ว ศาลจะอนุญาตให้
สืบพยานบุคคลใดที่อยู่นอกศาลโดยระบบการประชุมทางจอภาพก็ได้ โดยกำหนดวัน เวลาและสถานที่
ที่จะให้พยานไปเบิกความให้ชัดเจนการสืบพยานบุคคลที่อยู่นอกศาลในกรณีอื่นโดยระบบการประชุมทางจอภาพ ให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๘ ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้สืบพยานบุคคลที่อยู่นอกศาลโดยระบบการประชุม
ทางจอภาพตามข้อ ๗ ให้ศาลพิจารณากำหนดค่าใช้จ่ายเบื้องต้น รวมทั้งค่าพาหนะและค่าป่วยการพยาน
ตลอดจนค่าใช้จ่ายของสักขีพยาน และมีคำสั่งให้คู่ความฝ่ายที่ร้องขอวางเงินค่าใช้จ่ายดังกล่าวต่อศาล
ภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด หากคู่ความฝ่ายนั้นไม่ปฏิบัติตามก็ให้ศาลมีคำสั่งงดการสืบพยานดังกล่าว
และดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามที่ศาลเห็นสมควร
การชำระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ค่าพาหนะและค่าป่วยการพยาน ให้ชำระจากเงินที่ได้วางไว้ตามวรรคหนึ่ง
หากไม่พอให้ศาลมีคำสั่งให้ชำระเพิ่มจนครบ หรือหากมีเหลือให้คืนแก่คู่ความนั้นไป
ข้อ ๙ ถ้ามีเอกสารหรือวัตถุพยานที่จะต้องสืบประกอบคำเบิกความของพยานบุคคลตามข้อ ๗
ศาลอาจกระทำโดยระบบการประชุมทางจอภาพ หรือส่งสำเนาเอกสารหรือภาพถ่ายวัตถุพยานที่คู่ความ
ทุกฝ่ายรับรองแล้วไปให้พยานตรวจดูประกอบการเบิกความ เว้นแต่มีความจำเป็นต้องให้พยานยืนยัน
ความถูกต้องแท้จริงของเอกสารที่จะให้พยานเบิกความประกอบก็ให้ส่งต้นฉบับเอกสารไป
ข้อ ๑๐ กรณีที่สถานที่ซึ่งจะทำการสืบพยานบุคคลที่อยู่นอกศาลเป็นศาลอื่น ให้ศาลที่พิจารณา
คดีสอบถามศาลนั้นถึงความพร้อมเกี่ยวกับวันเวลานัดสืบพยานเสียก่อน แล้วมีหนังสือแจ้งการสืบพยานบุคคลตามข้อ ๗ โดยกำหนดวัน เวลาสืบพยาน ชื่อและจำนวนพยานบุคคล กับส่งเอกสารและภาพถ่ายวัตถุพยานอันจำเป็นในการเบิกความของพยาน ไปยังศาลที่พยานจะไปเบิกความทราบ เพื่อจัดเตรียมความพร้อม
ของห้องสืบพยาน ระบบการประชุมทางจอภาพ รวมทั้งการควบคุมระบบการติดต่อประสานงานกับศาล
ที่พิจารณาคดีในวันสืบพยานด้วย
ข้อ ๑๑ ให้คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานบุคคลที่อยู่นอกศาลนำพยานมาเบิกความตามวัน เวลาและ
ศาลที่กำหนดให้พยานเบิกความโดยระบบการประชุมทางจอภาพ แต่หากไม่สามารถนำพยานมาศาลนั้นได้เองให้คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานร้องขอต่อศาลที่พิจารณาคดีให้ออกหมายเรียกพยาน โดยระบุชื่อศาลที่พยาน
จะต้องไปเบิกความโดยระบบการประชุมทางจอภาพให้ชัดเจน แล้วส่งหมายนั้นไปยังศาลที่พยานจะไป
เบิกความเพื่อให้สลักหลังหมายเรียกพยานแล้วดำเนินการส่งหมายให้แก่พยานต่อไป เมื่อศาลที่พยานจะไปเบิกความได้รับรายงานผลการส่งหมายแล้ว ให้แจ้งรายงานผลการส่งหมายให้ศาลที่พิจารณาคดีทราบก่อนถึงวันนัดด้วย ในกรณีจำเป็นเร่งด่วน การแจ้งรายงานผลการส่งหมายดังกล่าวอาจกระทำทางโทรสารหรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์อย่างอื่นก็ได้
ข้อ ๑๒ ในวันสืบพยานบุคคลที่อยู่นอกศาลโดยระบบการประชุมทางจอภาพ ให้องค์คณะ
ผู้พิพากษาและคู่ความรวมทั้งทนายความทุกฝ่ายทำการสืบพยานภายในห้องพิจารณาของศาลที่พิจารณาคดี
ซึ่งได้จัดวางระบบการประชุมทางจอภาพเชื่อมโยงกับระบบของศาลที่พยานไปเบิกความ เว้นแต่
เมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายมีคำขอ และศาลเห็นสมควร ศาลอาจอนุญาตให้คู่ความฝ่ายใด
ฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายไปทำการสืบพยานที่ศาลที่พยานไปเบิกความก็ได้ ก่อนทำการสืบพยาน ให้เจ้าพนักงานศาลตรวจสอบหลักฐานบัตรประจำตัวที่ปรากฏภาพถ่ายของพยานที่ทางราชการออกให้และทำสำเนาบัตรประจำตัวดังกล่าวให้พยานรับรองสำเนาถูกต้องไว้เป็นหลักฐานและให้นำพยานสาบานตนหรือกล่าวคำปฏิญาณต่อหน้าศาลที่พิจารณาคดีโดยระบบการประชุมทางจอภาพ แล้วให้ศาลที่พิจารณาคดีทำการสืบพยานต่อไปจนเสร็จในการสืบพยานบุคคลที่อยู่นอกศาลโดยระบบการประชุมทางจอภาพ ให้ศาลที่พยานไปเบิกความมอบหมายเจ้าพนักงานศาลอยู่เป็นสักขีพยานตลอดการสืบพยานนั้น
ข้อ ๑๓ เมื่อพยานเบิกความเสร็จแล้ว ให้องค์คณะผู้พิพากษาอ่านบันทึกคำเบิกความพยาน
ให้คู่ความที่อยู่ในห้องพิจารณาฟัง แล้วให้ผู้พิพากษาและคู่ความทุกฝ่ายลงลายมือชื่อในบันทึกคำเบิกความพยานทั้งนี้ คำเบิกความพยานต้องบันทึกให้ปรากฏข้อความด้วยว่าพยานเบิกความโดยระบบการประชุมทางจอภาพ
ข้อ ๑๔ ให้เจ้าพนักงานศาลซึ่งเป็นสักขีพยานตามข้อ ๑๒ วรรคสาม จัดทำรายงานการสืบพยาน
โดยระบบการประชุมทางจอภาพ โดยให้ศาลที่พยานไปเบิกความลงลายมือชื่อไว้ในรายงานดังกล่าวด้วย
ข้อ ๑๕ ให้ศาลที่พยานไปเบิกความรวบรวมเอกสารทั้งหลายที่เกี่ยวข้องส่งคืนศาลที่พิจารณาคดี
พร้อมแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการสืบพยานเพื่อให้ศาลที่พิจารณาคดีดำเนินการตามข้อ ๘
วรรคสอง
ข้อ ๑๖ ในกรณีสถานที่ที่จะทำการสืบพยานบุคคลที่อยู่นอกศาลเป็นสถานที่อื่น ให้ศาล
ที่พิจารณาคดีมีหนังสือแจ้งการสืบพยานบุคคลที่อยู่นอกศาลโดยระบบการประชุมทางจอภาพ
พร้อมกำหนดวัน เวลา สืบพยาน ชื่อและจำนวนพยานบุคคล ไปยังผู้มีอำนาจหน้าที่ดูแลสถานที่นั้นทราบ
เพื่อเตรียมความพร้อมของห้องสืบพยาน ระบบการประชุมทางจอภาพ รวมทั้งการควบคุมระบบ
การติดต่อประสานงานกับศาลที่พิจารณาคดีในวันสืบพยานให้ศาลที่พิจารณาคดีมีหนังสือแจ้งการสืบพยานบุคคลที่อยู่นอกศาลโดยระบบการประชุมทางจอภาพ พร้อมกำหนดวัน เวลา สืบพยาน ชื่อและจำนวนพยานบุคคล พร้อมด้วยเอกสารและภาพถ่ายวัตถุพยานอันจำเป็นในการเบิกความ ถ้าหากมี ไปยังศาลที่มีเขตอำนาจเหนือสถานที่ตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลที่ศาลเห็นสมควร เพื่อให้ศาลที่มีเขตอำนาจเหนือสถานที่นั้นมอบหมายเจ้าพนักงานศาลให้ทำหน้าที่ตามข้อ ๑๒ วรรคสองและวรรคสาม ตลอดจนดูแลให้การสืบพยาน
โดยระบบการประชุมทางจอภาพนั้นดำเนินไปได้โดยเรียบร้อย และให้นำความในข้อ ๑๒ ถึงข้อ ๑๕
มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๑๗ ในกรณีที่พยานมีถิ่นที่อยู่ในต่างประเทศ ศาลที่พิจารณาคดีอาจให้พยานเบิกความ
ณ สถานที่ที่เหมาะสม และมีความพร้อมที่จะให้พยานเบิกความโดยระบบการประชุมทางจอภาพก็ได้
ทั้งนี้ ให้นำความในข้อ ๗ ถึงข้อ ๑๕ มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่บุคคลที่เป็นสักขีพยานไม่จำเป็น
ต้องเป็นเจ้าพนักงานศาล หากสถานที่ตามวรรคหนึ่งเป็นศาลในต่างประเทศ ให้ดำเนินการตามข้อตกลงระหว่างกันหรือธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างประเทศ แล้วแต่กรณี
ข้อ ๑๘ ในกรณีที่ศาลอนุญาตให้เสนอบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของผู้ให้
ถ้อยคำซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในต่างประเทศต่อศาลแทนการนำพยานมาเบิกความต่อหน้าศาล ตามมาตรา ๑๒๐/๒
แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลอาจให้ผู้ให้ถ้อยคำเบิกความตอบคำถามค้านและคำถาม
ติงของคู่ความโดยระบบการประชุมทางจอภาพก็ได้ ทั้งนี้ ให้นำความในข้อ ๑๗ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
หมวด ๔
การสืบพยานหลักฐานซึ่งเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์
ข้อ ๑๙ คู่ความที่ประสงค์จะเสนอข้อมูลที่บันทึกโดยเครื่องคอมพิวเตอร์หรือที่ประมวลผล
โดยเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นพยานหลักฐานจะต้องระบุข้อมูลที่จะอ้างไว้ในบัญชีระบุพยานตามมาตรา ๘๘
แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง พร้อมกับยื่นสำเนาสื่อที่บันทึกข้อมูลนั้นในจำนวนที่เพียงพอ
เพื่อให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมารับไปจากเจ้าพนักงานศาล เว้นแต่
(๑) สื่อที่บันทึกข้อมูลนั้นอยู่ในความครอบครองของคู่ความฝ่ายอื่น หรือของบุคคลภายนอก
ให้คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงข้อมูลยื่นคำร้องต่อศาล ขออนุญาตงดส่งสำเนาสื่อบันทึกข้อมูล และขอให้ศาล
มีคำสั่งเรียกสื่อที่บันทึกข้อมูลนั้นมาจากผู้ครอบครองโดยให้คู่ความฝ่ายที่อ้างนั้นมีหน้าที่ติดตามเพื่อให้
ได้สื่อที่บันทึกข้อมูลนั้นส่งมาศาลก่อนวันสืบพยาน ตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนด
(๒) ถ้าการทำสำเนาสื่อที่บันทึกข้อมูลนั้น จะทำให้กระบวนพิจารณาล่าช้าหรือเป็นที่เสื่อมเสีย
แก่คู่ความซึ่งอ้างอิงข้อมูลนั้น หรือมีเหตุผลแสดงว่าไม่อาจส่งสำเนาสื่อที่บันทึกข้อมูลนั้นให้แล้วเสร็จ
ภายในเวลาที่กำหนดได้ ให้คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงข้อมูลยื่นคำร้องต่อศาล ขออนุญาตงดส่งสำเนาสื่อ
ที่บันทึกข้อมูลและขอนำสื่อที่บันทึกข้อมูลนั้นส่งมาศาลก่อนวันสืบพยานตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนด
ถ้าคู่ความฝ่ายที่อ้างอิงไม่สามารถนำสื่อที่บันทึกข้อมูลนั้นส่งมาศาลได้ภายในเวลาตามวรรคหนึ่ง
ศาลจะกำหนดให้ทำการตรวจข้อมูลดังกล่าว ณ สถานที่ เวลา และภายในเงื่อนไขตามที่ศาลเห็นสมควร
แล้วแต่สภาพแห่งข้อมูลนั้น ๆ ก็ได้
ข้อ ๒๐ คู่ความฝ่ายที่ถูกอีกฝ่ายหนึ่งอ้างอิงข้อมูลที่บันทึกโดยเครื่องคอมพิวเตอร์หรือประมวลผล
โดยเครื่องคอมพิวเตอร์มาเป็นพยานหลักฐานยันตน อาจยื่นคำแถลงคัดค้านการอ้างข้อมูลนั้นต่อศาล
ก่อนการสืบข้อมูลนั้นเสร็จ โดยเหตุที่ว่าสื่อที่บันทึกข้อมูลนั้นปลอม หรือข้อมูลนั้นปลอม หรือสำเนาสื่อ
ที่บันทึกข้อมูลนั้นไม่ถูกต้องกับข้อมูลทั้งหมดหรือบางส่วน เว้นแต่จะแสดงให้เห็นเป็นที่พอใจแก่ศาลว่ามีเหตุอันสมควรที่ไม่อาจทราบเหตุแห่งการคัดค้านนั้นได้ก่อนเวลาดังกล่าว คู่ความฝ่ายนั้นอาจยื่นคำร้องขอ
อนุญาตคัดค้านการอ้างข้อมูลหรือสื่อหรือสำเนาสื่อที่บันทึกข้อมูลเช่นว่านั้นต่อศาลไม่ว่าเวลาใด ๆ
ก่อนพิพากษาคดี และถ้าศาลเห็นว่าคู่ความฝ่ายนั้นไม่อาจยกข้อคัดค้านได้ก่อนนั้นและคำร้องมีเหตุผลฟังได้
ก็ให้ศาลอนุญาตตามคำร้อง ในกรณีที่มีการคัดค้านดังว่ามานี้ ให้นำมาตรา ๑๒๖ แห่งประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับโดยอนุโลมการนำสืบถึงความถูกต้องหรือความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่บันทึกโดยเครื่องคอมพิวเตอร์หรือประมวลผลโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ให้คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้างนำสืบถึงลักษณะหรือวิธีการที่ใช้สร้างเก็บรักษา หรือสื่อสารข้อมูลนั้น ลักษณะหรือวิธีการเก็บรักษา ความครบถ้วน และไม่มีการเปลี่ยนแปลงของข้อความ รวมทั้งพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องทั้งปวง
ข้อ ๒๑ ให้นำความในข้อ ๑๙ และ ๒๐ มาใช้บังคับแก่การนำสืบข้อมูลที่บันทึกไว้ใน
หรือได้มาจากไมโครฟิล์ม สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อทางเทคโนโลยีสารสนเทศประเภทอื่นโดยอนุโลม
ประกาศ ณ วันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ไพโรจน์ วายุภาพประธานศาลฎีกา
(ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๐ ตอนที่ ๔๙ ก ๗ มิถุนายน ๒๕๕๖)
