ศรีสมภพ : จาก "ศูนย์ทรัพยากรสันติภาพ" ถึง "โรดแมพ" เจรจาบีอาร์เอ็น
ตั้งแต่รัฐบาลไทยตัดสินใจลงนามในข้อตกลงริเริ่มกระบวนการพูดคุยสันติภาพกับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ นำโดยแกนนำขบวนการบีอาร์เอ็น สปอตไลท์เรื่องการเจรจาและอนาคตสันติภาพหาได้ฉายจับไปเฉพาะ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ในฐานะแกนหลักของคณะพูดคุยฝ่ายไทยเท่านั้น
ทว่าทุกสายตายังจับจ้องไปที่ ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (ม.อ.ปัตตานี) ด้วย
เหตุเพราะ ผศ.ดร.ศรีสมภพ เป็นผู้ที่ได้รับเชิญเข้าร่วมคณะพูดคุยสันติภาพ และได้เดินทางไปร่วมโต๊ะพูดคุยมาแล้วถึง 2 ครั้่ง คือเมื่อวันที่ 28 มี.ค. และวันที่ 29 เม.ย.2556 จึงถือเป็นบทบาทของ "วงใน"
ขณะที่บทบาทนอกโต๊ะพูดคุยเจรจา ผศ.ดร.ศรีสมภพ ได้ทำงานทางวิชาการหลายเรื่องที่เกี่ยวกับชายแดนใต้ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บสถิติความรุนแรง การประเมินการใช้กฎหมายพิเศษ และเมื่อเร็วๆ นี้ยังได้เป็นหัวเรือใหญ่ในการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการพูดคุยสันติภาพ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) นำไปใช้เพื่อกำหนดทิศทางการทำงานด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนร่วมวงพูดคุยสันติภาพอย่างเป็นทางการครั้งที่ 2 (29 เม.ย.) เขาได้ทำหนังสือถึง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เสนอให้จัดตั้ง "ศูนย์ทรัพยากรสันติภาพ" ขึ้นในพื้นที่ เพื่อขับเคลื่อนงานพูดคุยสันติภาพอย่างจริงจังและยั่งยืน
ล่าสุดก่อนร่วมวงพูดคุยสันติภาพครั้งที่ 3 ในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ ในห้วงที่กระบวนการพูดคุยกำลังถูกท้าทายอย่างหนักจากดีกรีความรุนแรงที่ไม่ลดระดับลง เขาได้เสนอทำ "โรดแมพภาคประชาสังคม" เพื่อให้ทั้งฝ่ายรัฐบาลไทยและบีอาร์เอ็นได้นำไปปรับจูนแนวทางและเดินหน้ากระบวนการสันติภาพต่อไป
โอกาสและอนาคตของสันติภาพที่ปลายด้ามขวานเป็นอย่างไรในทัศนะของเขา เป็นเรื่องที่น่าติดตามไม่น้อย...
O อยากให้อาจารย์เล่าหลักคิดของการจัดตั้งศูนย์ทรัพยากรสันติภาพ และจะมีองค์กรใดมาร่วมบ้าง?
ที่ผ่านมา ม.อ.ปัตตานี มีองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานสันติภาพและสันติวิธี เช่น สถาบันสันติศึกษา สถานวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายวัฒนธรรมภาคใต้ รวมทั้งศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ จึงอยากขอให้รัฐบาลจัดตั้งเป็นศูนย์ทรัพยากรสันติภาพเพื่อแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเป็นศูนย์ที่ตั้งขึ้นใน ม.อ.ปัตตานี มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อสนับสนุนโครงการสันติภาพ
ศูนย์แห่งนี้จะรวบรวมการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ในการแก้ปัญหาภาคใต้ของมหาวิทยาลัย รวมทั้งเครือข่ายภาคประชาสังคม นักวิชาการในพื้นที่ และสนับสนุนกระบวนการสันติภาพ เช่น เป็นที่รวมขององค์ความรู้ทางวิชาการ งานวิจัยเกี่ยวกับการบริหารในสถานการณ์ความขัดแย้ง โดยมีความร่วมมือจากส่วนกลาง เช่น ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล (ที่มี อาจารย์โคทม อารียา เป็นหัวเรือใหญ่) หรือจาก ศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ (นักวิชาการด้านสันติวิธีชื่อดัง จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
นอกจากนั้นจะมีความช่วยเหลือร่วมมือจากต่างประเทศในเรื่องข้อมูลทางวิชาการ ค้นหาแนวทางการแก้ไขปัญหา เปิดพื้นที่ในการพูดคุยเพื่อส่งเสริมกระบวนการสันติภาพที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ แต่จะเป็นการทำในระดับล่าง โดยมีภาควิชาการ ภาคประชาสังคม ดำเนินการผ่านศูนย์ทรัพยากรสันติภาพของ ม.อ.ปัตตานี
O เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้คน องค์กร และสถาบันการศึกษาจากทั้งในและนอกพื้นที่มาร่วมในกระบวนการสันติภาพนี้ด้วย?
ครับ เราเปิดโอกาสทุกวิถีทางเพื่อเรียนรู้ รับรู้ และนำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพื้นที่มาปรับใช้ให้เหมาะสม ถ้าศูนย์ทรัพยากรสันติภาพเกิดขึ้นได้ก็จะเป็นพื้นที่กลาง เมื่อทางรัฐบาลกับฝ่ายขบวนการ (กลุ่มบีอาร์เอ็น) ที่มีการพูดคุยกันอยู่ในขณะนี้เกิดความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน หรือเกิดปัญหาที่เป็นวิกฤติหาทางออกไม่ได้ในระหว่างพูดคุย ศูนย์แห่งนี้ก็จะเป็นพื้นที่กลางในการระดมฝ่ายต่างๆ มาช่วยเพื่อส่งเสริมและสร้างความมั่นคงให้กับกระบวนการพูดคุยให้มีความยั่งยืน
O โครงสร้างของศูนย์ทรัพยากรสันติภาพจะเป็นอย่างไร การเสนอให้อยู่ภายใต้โครงสร้างของมหาวิทยาลัยของรัฐ และอาจจะใช้งบประมาณรัฐบางส่วนด้วย จะมีปัญหาเรื่องความเป็นอิสระหรือตกเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในฝ่ายที่สนับสนุนการเจรจาหรือไม่?
แม้ศูนย์ทรัพยากรสันติภาพจะถูกเสนอให้อยู่ภายใต้ ม.อ.ปัตตานี ที่เป็นหน่วยงานของรัฐ แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วมีเงื่อนไขพิเศษที่หลุดจากระบบราชการ ผมได้คุยกับท่านอธิการบดีไว้แล้วว่า ศูนย์ทรัพยากรสันติภาพจะมีอิสระในการบริหารจัดการ เพียงแต่การกำหนดให้อยู่ภายใต้องค์กรการศึกษาก็เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับกระบวนการทำงาน ทุกประเทศในโลกที่มีความขัดแย้งต้องมีโครงสร้างเช่นนี้เพื่อเป็นองค์กรหนุนเสริม สร้างความน่าเชื่อถือ และสนับสนุนงานวิชาการแก่กระบวนการสันติภาพ
O คิดว่าอนาคตของการพูดคุยจะเป็นอย่างไร เพราะในพื้นที่สถานการณ์ยังแรงมาก สังคมไทยจะอดทนผ่านช่วงนี้ไปได้แค่ไหน และจะกินเวลาอีกนานขนาดไหน?
ตามสถิติแล้วความสำเร็จของการพูดคุยเจรจาใช้เวลาทั้งเร็วและช้าต่างกัน เวลา 1-2 ปีก็อาจสงบได้ หรืออาจยาวนานไปถึง 20-30 ปี แต่โดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 5 ปี อย่างไรก็ดีขอให้พี่น้องประชาชนชาวไทยมีความอดทน ใจเย็น และรอคอยสันติภาพ เพราะเป็นความจริงที่เป็นไปได้
O ทราบว่ากำลังจะจัดเวทีเพื่อทำโรดแมพภาคประชาสังคมเสนอต่อคณะพูดคุยสันติภาพทั้งฝ่ายไทยและบีอาร์เอ็น?
ครับ เบื้องต้นคงจะเป็นการยกร่างในกลุ่มเล็กๆ ให้เห็นก่อน อาจจะเป็นตัวแทนภาคประชาสังคมที่มีความเข้าใจปัญหาและติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยกันมอง กลั่นกรองข้อเสนอของบีอาร์เอ็น 5 ข้อ และทำโรดแมพระยะสั้นภายใน 3-6 เดือนก่อน เพราะต้องการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะ 5 ข้อของบีอาร์เอ็น ทั้งรัฐไทยกับบีอาร์เอ็นตกลงกันไม่ได้ ทั้งยังมีความรุนแรงเฉพาะหน้า ก็ต้องหาโรดแมพว่าจะทำอย่างไรถึงจะเชื่อมทั้ง 2 ฝ่ายได้ โดยให้เห็นเป็นรูปธรรม และ สมช. (สภาความมั่นคงแห่งชาติ) จะผลักดันต่อไปอย่างไรเพื่อให้กระบวนการสันติภาพเดินหน้าต่อ
จากนั้นภายในวันที่ 10 มิ.ย.จะมีการประชุมกัน เพื่อระดมความเห็นจากตัวแทนทุกกลุ่ม แล้วกลับมาทำเวิร์คชอปอีกรอบ เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องที่นำเสนอในรอบแรก เมื่อได้โรดแมพที่สมบูรณ์ออกมาชัดเจนแล้วก็จะนำเสนอต่อตัวแทนรัฐบาลและตัวแทนบีอาร์เอ็นให้ได้ทราบว่าประชาชนและภาคประชาสังคมในพื้นที่คิดอย่างไรเกี่ยวกับแนวทางสันติภาพที่จะต้องเดินไปข้างหน้า เมื่อทำโรดแมพระยะสั้นเสร็จสิ้นแล้ว ก็จะคิดต่อเพื่อทำโรดแมพระยะยาว 2-3 ปีข้างหน้าอีกด้วย
โรดแมพที่ว่านี้จะเป็นการนำเสนอของภาคประชาสังคมที่ชัดเจนมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนสำคัญของกระบวนการสันติภาพเพื่อก้าวไปสู่การเจรจาสันติภาพ เป้าหมาย และกระบวนการที่ชัดเจน ข้อตกลงและการสร้างเครือข่ายเพื่อส่งเสริมสนับสนุนประเด็นในรายละเอียดต่างๆ อีกทั้งจะเป็นโรดแมพที่อาศัยแนวความคิดของทีมนักวิชาการจากสถาบันการศึกษาต่างๆ มาช่วยให้กระบวนการเดินต่อไป โดยมีโมเดล มีต้นแบบจากต่างประเทศที่เขาทำออกมาเพื่อสรุปบทเรียนกัน