นักวิชาการ ชี้ทางรอดศึกษาไทย ความรู้ต้องติดดิน-กินได้
“มีชัย” ระบุโรงเรียนต้องสร้างคนดี ไม่ใช่สร้างคนเก่งแล้วเป็นโจร แนะสร้างระบบศึกษาใหม่ ชูโรงเรียนศูนย์กลางการพัฒนา นักเรียน-ผู้ปกครอง-ชุมชน ย้ำต้านคอรัปชั่นต้องเริ่มตั้งแต่รั้วโรงเรียน
วันที่ 1 มิถุนายน ในงานสมัชชาปฏิรูประดับชาติ ครั้งที่ 3 พ.ศ.2556 เป็นวันที่ 2 มีการจัดเสวนาหัวข้อ “พลเมือง ปลดล็อค ระบบการศึกษาไทย” จัดโดยเครือข่ายการศึกษา ณ ห้องปฏิรูป 2 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
นางประภาภัทร นิยม ผู้อำนวยการโรงเรียนรุ่งอรุณ กล่าวถึงการศึกษาทางเลือกว่า ที่จริงต้องเรียกว่า การศึกษาทางรอดของประเทศไทยมากกว่า แต่การศึกษาทางเลือกก็ยังมีข้อดีคือ เป็นการศึกษาที่เราสามารถเลือกได้ ไม่ใช่ถูกบังคับให้เรียน โดยสามารถเลือกที่จะเรียนในสิ่งที่มีประโยชน์ในชีวิต สร้างความเติบโตให้กับผู้เรียน
"แต่การศึกษาในปัจจุบันกลับเน้นแต่เรื่องการแข่งขัน ขาดอีกด้านหนึ่งหนึ่งไปนั่นคือ คุณภาพ ขาดแคลนความเป็นมนุษย์ในชีวิต รวมทั้งลืมถิ่นฐานบ้านเกิด ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่น่าสลดใจ ขณะเดียวกันนักการศึกษาหลายท่านก็เริ่มเห็นแล้วว่า ตรงนี้เป็นปัญหา" นางประภาภัทร กล่าว และว่า การศึกษาจึงไม่ควรจะเรียนนั่งอยู่แต่ในห้องเรียนหรือเรียนแต่ในตำราเท่านั้น แต่ควรเป็นการเรียนรู้จากชีวิตจริง มองปัญหาจริง มองความเชื่อมโยงของตัวเองกับผู้อื่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นการศึกษาทางเลือกและการศึกษาทางรอดของประเทศไทย
ด้านนายมีชัย วีระไวทยะ ผู้อำนวยการโรงเรียนมีชัยพัฒนา กล่าวถึงการจัดการศึกษาของภาครัฐว่า รัฐบาลเปรียบเป็นผู้เช่าประเทศ เช่าประเทศคราวละ 4 ปี จัดสรรงบประมาณ 20 % ให้ไปจัดการศึกษา แต่ก็พบว่า คุณภาพการศึกษาของเรายังไม่ดีขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา ตนลงมือทำโดยให้ความสำคัญกับการเรียนการสอนแบบการคิดนอกกรอบ สร้างนวัตกรรมใหม่มากกว่า ซึ่งไม่ใช่ท่องจำ หรือเจื้อยแจ้วเป็นนักแก้วนกขุนทอง เพราะระบบการศึกษาเช่นนี้ทำให้เด็กเป็นแต่ผู้ตาม คิดไม่เป็น
" ระบบการศึกษาของเรามุ่งเน้นให้เข้ามหาวิทยาลัยได้ สอนให้บ้า อยากได้รับปริญญากันเหลือเกิน โดยไม่สนว่าจะออกไปสู่ชีวิตและการงานอย่างไร หรือเป็นที่ต้องการของบริษัทหรือไม่ ซึ่งองค์กรธุรกิจสมัยนี้ต้องการบุคลากรที่คิดได้มากกว่าท่องจำ"
นายมีชัย กล่าวอีกว่า ระบบการศึกษาของไทยปัจจุบัน กำลังมุ่งเน้นที่การสร้างคนของเมื่อวาน ไม่ใช่คนของวันพรุ่งนี้ ดังนั้นเพื่อคุณภาพของคนในอนาคต เราจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงวิถีการเรียนรู้จากเดิม ที่เน้นท่องจำไปสู่ระบบใหม่ที่ดี คือให้เด็กสามารถค้นคว้าหาคำตอบ หาทางเลือกให้กับชีวิต เปรียบได้กับเราสอนเด็กให้เดินบนดิน ไปเจอลำธารก็ไม่สามารถข้ามได้
การศึกษาระบบใหม่นั้น ผอ.โรงเรียนมีชัยพัฒนา กล่าวว่า จึงต้องเป็นสะพานนำไปสู่ชีวิตใหม่ได้ ไม่ใช่ให้คนหยุดอยู่กับที่ พร้อมกันนี้โรงเรียนจากเดิมที่เป็นแหล่งความรู้ จะต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่ศูนย์กลางของการพัฒนา ทั้งสำหรับนักเรียน ผู้ปกครอง รวมถึงสมาชิกทุกคนในชุมชนด้วย ที่สำคัญ การต่อต้านคอรัปชั่นจะต้องเริ่มตั้งแต่ในโรงเรียน โรงเรียนต้องสร้างคนดี ไม่ใช่คนเก่งคนโกง เช่น ครูโกงก็ให้ปลดออก ตำรวจจะสอบก็โกงอีก ไม่เช่นนั้นมันจะเป็นประเทศที่เกี่ยวข้องกับการโกงทั้งสิ้น
ส่วนดร.จุฬากรณ์ มาเสถียรวงศ์ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันรามจิตติ กล่าวถึงกุญแจปลดล็อคการศึกษาว่า อยู่ที่ระบบรัฐ เนื่องจากผลการศึกษาเมื่อประมาณปลายปีที่ผ่านมาพบว่า วิกฤตของรัฐเกือบทั้งทั่วโลกที่กำลังจะล้มระบบของตัวเอง ก็คือเรื่องของระบบการเงิน การคลัง รวมถึงระบบการศึกษาก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ดังนั้น การศึกษาทางรอด จึงไม่ใช่สร้างวาทะกรรมที่แยกเด็กออกมาจะระบบ แต่ควรเป็นความรู้ที่เรียกว่า “ติดดินกินได้” เป็นการเรียนรู้ที่ทำให้เด็กมีทางเลือก ค้นพบตัวเอง มีความรู้ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิต เอาตัวรอดได้จริงๆ
นายสมบูรณ์ รินท้าว ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านนาซาว จ.น่าน กล่าวถึงเรื่องการยุบขนาดเล็กว่า เรื่องนี้เอาคนไปเป็นเรื่องของสินค้าได้อย่างไร การควบรวมโรงเรียนเชื่อว่าไม่ได้ทำให้งบประมาณลดลง เพราะลดค่าครู ก็ต้องมาจ้างรถตู้ ส่วนในเรื่องของคุณภาพก็ยังมีข้อโต้แย้งเช่นกันดังนั้นเห็นว่าทางออกของเรื่องนี้คือ ปรับโรงเรียนขนาดเล็กให้เป็น “โรงเรียนชุมชน” จัดสรรงบประมาณตามเขตครัวเรือน ซึ่งการทำเช่นนี้ไม่ใช่ให้เฉพาะแต่เด็ก แต่รวมไปถึงคนในชุมชนด้วย
นายอดุลย์ ภู่ภัทรางค์ ผู้อำนวยการโรงเรียนมะค่าวิทยา จ.นครราชสีมา กล่าวถึงการทำงานของโรงเรียนในท้องถิ่นว่า ข้อดีคือสามารถทำงานได้ตามอิสระ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างว่องไว ทันต่อสถานการณ์ ตอบโจทย์การศึกษาของท้องถิ่น รวมถึงสามารถดำเนินงานตามโจทย์ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ไปในคราวเดียวกัน แต่อาจมีปัญหาติดล็อคอยู่บ้าง ตรงที่ต้องทำตามแผนอย่างเคร่งครัด ที่สำคัญที่สุดคือวิสัยทัศน์ของนักการเมืองท้องถิ่น ซึ่งหากให้ความสำคัญก็จะให้การสนับสนุนด้านงบประมาณ แต่หากไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้ามีการวางระเบียบไว้ในกฎหมายอย่างชัดเจนว่า ต้องเจียดงบประมาณให้การศึกษาเท่าไหร่ ก็จะทำให้การศึกษาในท้องถิ่นอยู่รอดได้ สามารถจัดการศึกษาตามอัธยาศัยได้บ้าง
นางอุทุมพร จามรมาน ที่ปรึกษาผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึงการจัดการศึกษาว่า จะต้องตั้งคำถามว่า เราต้องการจัดการศึกษาอย่างไร เช่นยุคหนึ่งเน้นการเหลาและหลอม บางคนบอกว่าต้องสอน ต้องสร้าง ส่วนอีกยุคหนึ่งบอกบ้าน วัด โรงเรียน ซึ่งหากเราตั้งหลักตรงนี้ การศึกษาปัจจุบันก็นับว่าใช้ไม่ได้จริงๆ ขณะเดียวกัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ม.49 ระบุว่า รัฐต้องจัดการศึกษาอย่างทั่วถึง แต่ก็ยังพบว่ามีปัญหา ระบบการศึกษาของไทยแย่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาก็ทราบดีว่า ปัญหาการศึกษามีอยู่ด้วยกัน 26 ข้อ แต่ปัจจุบันดิฉันขออีกข้อเพิ่มอีกหนึ่งข้อคือ นายกรัฐมนตรี ไม่เข้าใจเรื่องการศึกษาเท่าที่ควร
อย่างไรก็ตาม นางอุทุมพร กล่าวแสดงคิดเห็นถึงการจัดทำโรงเรียนด้วยว่า ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนทางเลือก หรือโรงเรียนทางรอดก็ตาม ควรจะต้องมีการประเมินผล เพื่อวัดคุณภาพ ไม่ใช่มีไม่กี่คนรอด ส่วนที่เหลือเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบได้