นักวิชาชีพสื่อ จี้กสทช. ควบคุมทีวีเสื้อสี ปล่อยไว้อันตราย ปลุกสังคมเกลียดชัง
'มานิจ สุขสมจิตร' เผยขณะนี้อาชีพสื่อได้รับความนิยมต่ำสุด และมีแนวโน้มต่ำลงเรื่อย ๆ สาเหตุถูกแทรกแซง ด้านปธ.สภาการหนังสือพิมพ์ฯ ยันจำเป็นต้องให้ความรู้สังคมด่วน หลังพบคนจำนวนไม่น้อยแยกแยะไม่ได้ ระหว่างสื่อมืออาชีพ-สื่อที่มีวาระซ่อนเร้น
วันที่ 20 พฤษภาคม ที่โรงแรมอโนมา ถ.ราชดำริ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับเครือข่ายองค์กรสื่อ เปิดเวทีระดมความคิดเห็นเพื่อจัดทำแผนการขับเคลื่อนคุณธรรมความซื่อตรงของเครือข่ายองค์กรด้านสื่อ “ทิศทางสื่อไทย ใส่ใจความซื่อตรง” โดยจะนำเสนอบทสรุปในงานสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ปี 2556 ในวันที่ 25-27 กรกฎาคม ศกนี้
นายมานิจ สุขสมจิตร ประธานคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน (คพส.) กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “สถานการณ์จริยธรรมสื่อไทย” ตอนหนึ่งว่า ขณะนี้อาชีพสื่อมวลชนหรือนักข่าวเป็นอาชีพที่ได้รับความนิยมต่ำสุดและมีแนวโน้มต่ำลงเรื่อย ๆ สาเหตุที่สำคัญหนึ่งเป็นเพราะสื่อถูกแทรกแซง ทำให้ผู้ที่รักเสรีภาพไม่อยากเข้ามาทำงาน ทั้งนี้มีการจัดอันดับเสรีภาพสื่อมวลชนทั่วโลก จากการสำรวจเมื่อ ปี 2546-2552 พบว่าเสรีภาพสื่อมวลชนไทยอยู่อันดับ 130 จาก 169 ประเทศทั่วโลก
“จากการประมวลพบรูปแบบการแทรกแซงสื่อโดยเจ้าหน้าที่รัฐในหลายรูปแบบ คือ 1.แทรกแซงผ่านงบโฆษณา 2.แทรกแซงผ่านความสัมพันธ์ส่วนตัว 3.แทรกแซงด้วยวิธีกว้านซื้อหุ้น 4.แทรกแซงด้วยกฎหมาย แต่ตอนนี้ทำลำบาก เพราะ รัฐธรรมนูญ 2550 ให้สิทธิเสรีภาพ สื่อไว้มากมาย จะปิดหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ไม่ได้ 5.แทรกแซงผ่านหน่วยงานหรือบุคคลของรัฐ เช่น การประกาศว่าจะงดให้สัมภาษณ์นักข่าวบางคนเป็นเวลา 7 วัน”
ประธาน คพส. กล่าวอีกว่า สำหรับสื่อที่มีพฤติกรรมผิดหลักจริยธรรม ประชาชนผู้บริโภคสื่อสามารถควบคุมสื่อเหล่านี้ได้ ด้วยการตั้งข้อรังเกียจทางสังคม โดยไม่ซื้อ ไม่รับสื่อนั้น ๆ ขณะเดียวกันในต่างประเทศ มีการผนึกกำลังกันเพื่อขจัดคนไม่ดีออกจากวงการสื่อ ซึ่งเคยมีกรณีในประเทศไทยสื่อมวลชนรายหนึ่งถูกกล่าวหาว่า ไปให้รัฐมนตรีคนหนึ่งลัดคิวจองรถยนต์ให้ เจ้าสังกัดของสื่อมวลชนรายนั้นจึงให้ออก และในที่สุดเขาก็ทนอยู่ในวงการวิชาชีพสื่อต่อไปอีกไม่ได้ เพราะหลายฝ่ายไม่ยอมรับ
ขณะที่นายปราโมช รัฐวินิจ อดีตอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ กล่าวถึงทิศทางสื่อในยุคดิจิตอลกับอนาคตประเทศไทยว่า การเติบโตของสื่อทีวีดาวเทียม ประกอบกับสภาวะที่ไร้ผู้คุมกฎ ทำให้ทีวีดาวเทียมสองกลุ่มมีเสรีภาพมากเกินไปจนนำเสนอเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม คือช่องธุรกิจ เช่น ช่องหมอดู โฆษณายาเกินจริง ถือเป็นกลุ่มที่เข้ามาแสวงหาประโยชน์ทางธุรกิจอย่างแท้จริง
"อีกกลุ่มคือ สื่อที่ปลุกระดมทางการเมืองต่าง ๆ ช่องเหล่านี้ยังไม่มีใครเข้าไปจัดการให้นำเสนอเนื้อหาอย่างถูกต้อง กสทช.วันนี้ยังยุ่งอยู่กับการจัดสรรคลื่นความถี่ ยังไม่มีเวลาไปดูแลด้านเนื้อหา หรือถ้าเข้าไปควบคุมดูแล แล้วเขาไม่ปฏิบัติตาม จะทำอย่างไร"
นายปราโมช กล่าวว่า ในฐานะสื่อ เราสามารถใช้วาจา ข้อความ หรือถ้อยคำ บริภาษคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศเราได้ด้วยหรือ การวิจารณ์แม้จะมีสิทธิ แต่การใช้ถ้อยคำรุนแรงทั้งหลายเท่าที่มีมา ใครเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องดังกล่าว ใครที่สมควรจะเข้าไปดูแล และจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปในอนาคต ซึ่งวันนี้ก็ยังไม่มีข้อยุติ
ด้านนายสุภาพ คลี่ขจาย ประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ปัจจุบันวิทยุชุมชนกว่าแปดพันสถานีจำนวนมากที่เป็นของนักการเมืองท้องถิ่น กับทีวีดาวเทียมโดยเฉพาะช่องของกลุ่มการเมือง ยังไม่เห็นว่า กสทช. จะไปจัดการให้เข้ามาอยู่ในกรอบกติกาอย่างไร โดยเฉพาะสื่อที่ปลุกระดมความขัดแย้งเกลียดชังของกลุ่มการเมือง ซึ่งจะอันตราย ถ้ายังเป็นเครื่องมือกล่อมเกลาทางการเมืองต่อไปเรื่อย ๆ จึงคาดหวังให้ กสทช.เข้ามาควบคุมโดยเร่งด่วน
ส่วนนายเทพชัย หย่อง บรรณาธิการเครือ เดอะเนชั่น มัลติมีเดียกรุ๊ป กล่าวว่า สังคมควรเป็นฝ่ายที่ถือบรรทัดฐานทางจริยธรรมของสื่อเสียเอง จะทำให้สังคมมีบทบาทอย่างมากในการตรวจสอบสื่อ แทนที่จะให้จริยธรรมเป็นเพียงกลไกที่อยู่ในมือของคนทำสื่อเท่านั้น
สำหรับดิจิตอลทีวีจะเกิดขึ้นหลายสิบช่อง นายเทพชัย กล่าวว่า น่าจะเป็นโอกาสในการวางกติกา จริยธรรม ของวงการสื่อโทรทัศน์เสียใหม่ จากปัจจุบันที่เรายังไม่สามารถควบคุมสื่ออย่างทีวีดาวเทียมได้เลย
สุดท้ายนายจักร์กฤษ เพิ่มพูล ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ กล่าวว่า ทุกวันนี้คนจำนวนไม่น้อยยังแยกแยะไม่ได้ ระหว่างสื่อมืออาชีพกับสื่อที่มีวาระซ่อนเร้นของตัวเองอย่างทีวีการเมืองช่องต่าง ๆ ดังนั้นการให้ความรู้กับสังคมเรื่องประเภทของสื่อต่าง ๆ จึงเป็นเรื่องจำเป็น และสังคมต้องตื่นตัวและเอาใจใส่ต่อการปกป้องสิทธิของตัวเอง เช่น ข่าวบันเทิง สามารถฟ้องได้แทบทุกข่าว แต่ดาราไม่ทำ อ้างว่าต้องพึ่งพากันต่อไป หรือภาพเด็กที่ถูกทารุณกรรม ที่จริงไม่สามารถตีพิมพ์ได้ เพราะผิดกฎหมาย ถ้าปล่อยไปเรื่อย ๆ จะทำให้สื่อสำคัญตัวเองผิดว่าตัวเองเป็นผู้ชี้ถูกชี้ผิดแก่สังคม
ทั้งนี้ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ กล่าวด้วยว่า การที่สื่อเซ็นเซอร์ตัวเองจากการกระทำที่ล่อแหลมต่อจริยธรรมกฎหมายและความถูกต้อง จะช่วยบรรเทาปัญหาจริยธรรมได้มาก