มียีนมะเร็ง ถึงกับต้องตัดเต้านมทิ้ง ทั้งที่ยังเป็นปกติอยู่หรือเปล่า?

ข่าวช็อกโลกเพิ่งปรากฏขึ้น เมื่อมีข่าวว่า แองเจลินา โจลี ดาราฮอลลีวู้ดหญิงผู้เลอโฉม ถึงกับตัดสินใจตัดเต้านมทิ้งทั้ง 2 ข้าง เพื่อเป็นการป้องกันการเป็นมะเร็งเต้านม หลังจากที่แพทย์บอกว่าเธอมียีนมะเร็งเต้านมและมีความเสี่ยงสูงกว่า 87% ที่จะต้องเป็นมะเร็งเต้านมในอนาคต เธอจึงตัดสินใจตัดเต้านมทิ้ง เพื่อเป็นการป้องกัน
นี่อาจนับเป็นแบบอย่างของหญิงมีการตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยว แต่ก่อนที่เธอจะกลายเป็นแบบอย่างระดับโลก
และก่อนที่คนไทยซึ่งมักมีลัทธิเอาอย่าง โดยเฉพาะถ้าแบบอย่างนั้นมาจากดาราดังๆชาติตะวันตก แล้วพากันตัดเต้านมทิ้ง ก็ขอให้พิจารณาข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ดังต่อไปนี้
นับตั้งแต่วิทยาศาสตร์สามารถทำแผนที่ยีน (gene mapping) เป็นผลสำเร็จเมื่อต้นสหัสวรรษนี้ ก็มีการค้นพบยีนมะเร็งในผู้คนจำนวนมาก แล้วมีแนวโน้มที่ผู้หญิงตะวันตกพากันตัดเต้านมทิ้ง ทั้งที่เต้านมยังเป็นปกติอยู่ นัยว่าเป็นไปในเชิงป้องกัน
แต่แนวโน้มนี้มาหยุดชะงัก เมื่อมีข้อคิดอีกด้านหนึ่งที่เสนอว่า ปัจจัยเรื่องสิ่งแวดล้อมอันได้แก่อาหารการกิน ความคิด และสิ่งแวดล้อม เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้เช่นเดียวกัน แถมวิทยาศาสตร์เรื่องยีนศึกษาก็พบอีกว่า ยีนที่สำแดงตนออกมานั้น ในห้วงเวลาหนึ่งๆยีนจะเปิดตัวเพียงร้อยละ 10 ของยีนทั้งหมดเท่านั้น และยีนเหล่านี้ก็สลับกันปิดเปิดตัวเอง เปรียบเสมือนกับคีบอร์ดบนเปียโน ซึ่งสลับกันเคาะจังหวะจนเกิดท่วงทำนองอันไพเราะเพราะพริ้ง
ไม่ใช่ว่าใครมียีนมะเร็งก็แปลว่า จะต้องเป็นมะเร็งเสมอไป ยีนเปิดและปิดได้
วิทยาศาสตร์ยังพบอีกว่า ปัจจัยที่จะเปิดหรือปิดยีนมะเร็งนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางชีวเคมีหลายประการ เช่น สารอนุมูลอิสระ สารต้านอนุมูลอิสระ การสูบบุหรี่ การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย รวมไปถึงปัจจัยความเครียดอีกด้วย
ข้อมูลทางวิชาการที่เด่นๆเห็นจะได้แก่เอกสารอันเป็นข้อสรุปจากสมาคมโรคมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา ตีพิมพ์ในวารสารโภชนาการสิ่งแวดล้อม (Environmental Nutrition. Nov. 2008) ระบุว่า การมีโภชนาการดีสามารถป้องกันโรคมะเร็งได้ทุกชนิดมากกว่า 1 ใน 3 และถ้าเพิ่มการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เช่น ออกกำลังกายและลดความเครียดได้จะป้องกันมะเร็งได้อีกเท่าตัว ก็คือ 2 ใน 3 แล้วละ จากการศึกษาคนอเมริกัน 15 ล้านคน พบว่าการปรับชีวิตเปลี่ยนอาหารมีผลต่อมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมากที่สุด
สถาบันดังกล่าวแนะนำว่า ให้ลดไขมันและพลังงานจากอาหารไขมันสูง เพราะจะทำให้อ้วน ความอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็ง ให้กินผักผลไม้อันเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ ให้กินถั่วเหลืองเพิ่มขึ้นสัปดาห์ละ 3-4 มื้อ เพราะถั่วเหลืองมีสารฟัยโตอีสโตรเจน ป้องกันทั้งมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมากได้
งานวิจัยที่แบ่งยุคแบ่งศักราชอีกชิ้นหนึ่ง เป็นของนพ.ดีน ออร์นิช วิจัยการปรับชีวิตเปลี่ยนอาหารรักษามะเร็งต่อมลูกหมากได้ โดยมีผลถึงขั้นที่ไปปิดยีนมะเร็งได้เลยทีเดียว งานนี้เขาทำร่วมกับนพ.ปีเตอร์ คาร์รอล ภาควิชายูโรวิทยา และนพ.คริสโตเฟอร์ ฮากก์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านยีนวิทยา ทำในผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากระดับความรุนแรงต่ำจำนวน 30 คน โดยให้เปลี่ยนอาหารเป็นเวลา 3 เดือน ร่วมไปกับออกกำลังกาย เดินเบาๆวันละ 30 นาที ฝึกโยคะ ฝึกยืดเส้น ฝึกผ่อนคลายบำบัด ทำสมาธิ จินตภาพบำบัดร่วมไปด้วย
เขาพบว่าระดับสารบ่งชี้มะเร็ง PSA ลดลง 4% แต่ LNCaP ลดลงถึง 70% เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม ที่ PSA สูงขึ้น 6% และ LNCaP ลดลง 9% ครั้นเมื่อศึกษายีนของผู้ป่วยก็พบว่า การปรับชีวิตเปลี่ยนอาหารปิดยีนมะเร็งได้ถึง 453 ตำแหน่ง และเปิดยีน 48 ตำแหน่ง มีผลดีทั้งต่อตำแหน่งของยีนมะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งเต้านม งานนี้ตีพิมพ์ใน Journal Proceedings of the National Academy of Sciences
นพ.ดีน ออร์นิช กล่าวว่า “สมัยนี้เรามักจะได้ยินผู้ป่วยบ่นว่า โอ..แย่แล้ว มะเร็งมันฝังตัวอยู่ในยีนของฉันเลยแหละ แต่จริงๆแล้วเราสามารถควบคุมมันได้ ด้วยเวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้น ถ้าเราเอาจริง ปรับชีวิตเปลี่ยนอาหาร เราก็สามารถปิดยีนมะเร็งได้หลายร้อยยีน
นี่เป็นข้อมูลอีกด้านหนึ่งว่าด้วย ยีนกับมะเร็ง และเป็นข้อคิดให้พิจารณาเองว่า คนเราจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องด่วนตัดอวัยวะทิ้งไป ทั้งที่ยังปกติอยู่ เพียงเพราะตนเองมียีนมะเร็งเท่านั้น
อย่างไรก็ตามเราก็ควรจะให้เกียรติและเคารพในวิจารณญาณของคุณแองเจลินา โจลี เพราะนั่นเป็นอัตวินิจฉัยของเธอ ต่อไปถ้าใครคิดถึงความงดงามของเธอ ก็เห็นจะได้แต่หาภาพยนตร์เรื่องเดิมๆที่เธอเคยแสดงไว้ มาชื่นชมกัน หรือเธออาจจะกำลังสอนธรรมะกับใครต่อใครว่า สรรพสิ่งย่อมมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในที่สุด เหลืออยู่แต่คุณความดีของชีวิตเท่านั้น ที่คนเราพึงฝากไว้กับโลกใบสวยใบนี้
ที่มา:https://www.facebook.com/banchob.junha?ref=ts&fref=ts
