ถวิล เปลี่ยนศรี : รัฐบาลเสียที "เล่นไพ่บีอาร์เอ็น"
ผู้มีประสบการณ์ในกระบวนการพูดคุยสันติภาพกับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เห็นตรงกันว่า ตัวแทนรัฐบาลไทยที่ไปพูดคุยกับขบวนการบีอาร์เอ็นกำลังเพลี่ยงพล้ำ และเสนอให้ปรับยุทธศาสตร์โดยด่วนก่อนที่จะพบกับความเสียหายมากกว่านี้
ประเด็นที่สะท้อนชัดถึงความเพลี่ยงพล้ำของรัฐบาลไทยคือการพูดคุยแบบ "เปิดเผยต่อสังคมโลก" ทำให้ฝ่ายบีอาร์เอ็นที่นำโดย นายฮัสซัน ตอยิบ ฉวยจังหวะชิงการนำด้วยการเสนอข้อเรียกร้องผ่านคลิปวีดีโอเผยแพร่ในเว็บไซต์ยูทิวบ์ สื่อสังคมออนไลน์ชื่อดัง ก่อนวันนัดพูดคุยเพียง 1-2 วัน
"ผมเคยบอกไปแล้วว่าการจะยกระดับหรือไม่ยกระดับกลุ่มที่เราคุยด้วย ไม่ได้อยู่ที่ไทย แต่อยู่ที่ประเทศอื่นเขาเข้าใจอย่างไร" นายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ ในฐานะอดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาตติ (สมช.) ซึ่งเคยทำกระบวนการพูดคุยสันติภาพในรัฐบาลชุดก่อนระบุ และว่ากรณีของ นายฮัสซันนั้น เปรียบเหมือนกับว่านัดกันอีก 2 วันจะไปคุยกัน แต่นายฮัสซันกลับไปประกาศกลางตลาด ไม่รอคุยกันบนโต๊ะ
นายถวิล วิเคราะห์ว่า การเผยแพร่ข้อเรียกร้องผ่านสื่อสังคมออนไลน์สะท้อนความต้องการ 2 ข้อ คือ 1.ส่งสัญญาณต่อชาวโลก ไม่ได้มุ่งสื่อกับรัฐบาลไทยที่กำลังพูดคุยกัน เพราะถ้าต้องการสื่อกับรัฐบาลไทย ก็ต้องรอคุยบนโต๊ะ และ 2.ประกาศต่อชาวโลกด้วยการแสดงตัวเต็มที่ว่าเป็นคู่เจรจากับรัฐบาลไทยแล้ว
"จากข้อเรียกร้องทำให้เห็นว่าฝ่ายบีอาร์เอ็นมั่นใจว่ามาเลเซียอยู่ข้างบีอาร์เอ็น และยังต้องการให้โอไอซี (องค์การความร่วมมืออิสลาม) มาเป็นสักขีพยานด้วย ถือเป็นการยืนยันสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขของการพูดคุย"
นายถวิล ขยายความคำว่า "สิ่งที่เป็นไปไม่ได้" ว่า เช่นสิ่งที่พูดในคลิปวีดีโอไม่ให้เรียกพวกเขาว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดน เพราะดินแดนเป็นของเขามาก่อน บทบาทของเขาคือผู้ปลดปล่อย ส่วนไทยคือผู้รุกราน
"อย่างนี้ต้องบอกว่าคุยกันไม่ได้ และผมก็รู้สึกเสียใจที่เรายังไปคุยด้วย พูดกันแบบแรงๆ ก็คือเราไปเล่นไพ่โจร เราไม่มียุทธศาสตร์ของเราเลยว่าจะไปทำอะไรบ้าง ส่วนข้อเสนอของเราเรื่องลดความรุนแรงกลายเป็นเรื่องตลก จิ๊บจ๊อย เมื่อเทียบกับข้อเรียกร้องหนักๆ 5 ข้อของเขา ถือว่าเราพลาดท่าเสียแล้ว"
อย่างไรก็ดี นายถวิล มองว่าสถานการณ์ ณ ขณะนี้ก็ยังไม่ถึงกับปรับตัวปรับท่าทีไม่ทัน
"รัฐบาลต้องปรับยุทธวิธีใหม่ เพราะวิธีที่ทำมาผมว่ามันกลับหัวกลับหางกับวิธีการที่เหมาะสม การลงนามในข้อตกลง (ริเริ่มกระบวนการพูดคุย) เมื่อ 28 ก.พ.ต้องเกิดขึ้นทีหลัง ทั้งสองฝ่ายต้องคุยในทางลับเพื่อตกลงเงื่อนไขหนักๆ ให้ได้ทั้งหมดหรือส่วนใหญ่ก่อน จากนั้นจึงค่อยเปิดสู่สาธารณะ การพูดคุยเพื่อนำไปสู่สันติภาพอย่างแท้จริงต่างฝ่ายต้องยอมเสียหน้าบ้าง ต่างฝายต้องยอมถอยกันบ้าง ซึ่งจะเป็นไปได้ต้องคุยกันในทางลับเท่านั้น ไม่ใช่คุยเปิดเผย เหมือนเด็ก 2 คนเถียงกัน ถ้ามีกรรมการ มีคนดูอยู่ด้วยก็จะไม่มีใครยอมใคร แต่เมื่อกระบวนการกลับหัว ฝ่ายโน้นเสนอข้อเรียกร้องมาแบบนี้ สังคมไทยก็ต้องบอกว่าเท่ากับเป็นการยอมโจร"
"ฉะนั้นต้องกลับไปคุยกันแบบเงียบๆ ยุทธศาสตร์ของเราคือการพูดคุยต้องไม่ยืนอยู่บนข้อเรียก้อง 5 ข้อของบีอารืเอ็น ถ้าจะพูดเรื่องการถูกกดขี่ ความไม่เป็นธรรม ในแง่ของการเป็นปัญหาภายใน อย่างนั้นพอรับได้ แล้วก็แก้ไขกันไป แต่ไม่ใช่มาตั้งประเด็นว่ารัฐไทยไปรุกรานปัตตานีเมื่อ 200 ปีที่แล้ว อย่างนี้ก็พูดกันไม่รู้เรื่อง คณะพูดคุยต้องตั้งหลักว่าเป็นเรื่องภายใน และไม่ต้องพูดเสียงดัง การพูดคุยไม่ต้องเอาผู้ใหญ่ขนาดนี้ไป เอาชุดเล็กไปคุยก็ได้ แต่เป็นชุดที่ได้รับฉันทานุมัติ อาจจะคุยได้มากกว่าเดือนละครั้ง เมื่อคุยกันได้ระดับหนึ่งแล้วค่อยมาถึงชุดใหญ่" อดีตเลขาฯสมช. กล่าว
ขณะที่ รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคงจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ว่า ท่าทีของบีอาร์เอ็นคือพยายามชิงความได้เปรียบ ในขณะที่ฝ่ายรัฐบาลไทยยังไม่สามารถจัดการการพูดคุยให้มีเอกภาพได้
"ต้องเข้าใจว่าคนเหล่านี้เขาเป็นนักเจรจามาชั่วชีวิตและหลายชั่วอายุคนแล้ว เราเผชิญกับนักเจรจามืออาชีพที่มีประสบการณ์ แม้จะมีความขัดแย้งกันภายในบ้าง แต่เขาก็ประสานงานและมียุทธศาสตร์ร่วมกันในระดับหนึ่ง ที่สำคัญคือมีกลยุทธ์ที่ดี ขณะนี้เขาฉวยโอกาสผลักเราเข้าสู่กระบวนการเจรจาแล้ว ด้วยข้อเรียกร้องเกิน 100% เพื่อให้เราต่อรองลงมา ขณะที่ฝ่ายเรายังไม่มีความพร้อมในการเข้าสู่โต๊ะเจรจาเลย ยังคิดว่าเป็นช่วงของการพูดคุยทำความรู้จักกันอยู่ ต้องยอมรับว่าทางบีอาร์เอ็นทำงานเชิงรุกมากจริงๆ"
รศ.ดร.ปณิธาน ยังวิเคราะห์ว่า การออกแถลงผ่านยูทิวบ์ทำให้บีอาร์เอ็นได้ 2 ต่อ เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว คือ 1.ผลักไทยเข้าสู่โต๊ะเจรจาโดยที่ยังไม่พร้อม และ 2.ได้ทำความเข้าใจกับกลุ่มขบวนการในปีกที่ไม่เห็นด้วย เพราะมีการเสนอข้อเรียกร้องเรื่องคดี เรื่องหมายจับ เรื่องปล่อยนักโทษ ตอบสนองความขัดแย้งในพื้นที่
"เมื่อเร็วๆ นี้มีการปิดล้อมตรวจค้นและยิงปะทะแกนนำติดอาวุธระดับ ผบ.ร้อย ที่ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ทราบว่าฝ่ายความมั่นคงยึดเอกสารจำนวน 21 หน้ามาได้ และแปลเสร็จแล้ว เนื้อหาสะท้อนว่าในขบวนการมีความขัดแย้งกันพอสมควร มีการระบุพาดพิงถึงบุคคลหลายคน ฉะนั้นการกระทำของนายฮัสซันอาจจะเป็นการแก้เกมเรื่องนี้ ทำให้เห็นว่าแม้จะมีความขัดแย้ง แต่ก็ยังเดินยุทธศาสตร์ร่วมกันได้ ในขณะที่เราไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย"
รศ.ดร.ปณิธาน ยังบอกว่า คณะพูดคุยฝ่ายไทยต้องระมัดระวังท่าทีต่อข้อเรียกร้อง 5 ข้อของบีอาร์เอ็น อย่างที่บางคนไปพูดว่า "รับไว้ก่อน" อย่างนี้อันตราย ต้องบอกว่ารับไม่ได้ เพราะยังไม่ถึงขั้นตอนที่จะคุยกันในเรื่องเหล่านั้น
"ทางที่ดีที่สุดคือต้องชะลอการพูดคุยเอาไว้ และเสนอประเด็นกลับไป กดดันให้เขาคุยเรื่องความสงบในพื้นที่ก่อน ให้เขาอธิบายว่า 1 เดือนที่ผ่านมาได้ทำอะไรบ้าง สถานการณ์ ณ ขณะนี้ต้องบอกว่าเราเสียเปรียบ และไม่ได้เสียเปรียบน้อยลง"
"การพูดคุยครั้งต่อไปต้องคิดให้ดี จุดอ่อนของเราคือฝ่ายการเมืองไม่ลงมาชี้ยุทธศาสตร์ เลขาฯสมช.ก็เป็นข้าราชการประจำ พูดอะไรมากไม่ได้ ฉะนั้นน่าจะตั้งชุดเล็กเข้าไปคุย อาจจะใช้คนที่ไม่ได้เป็นข้าราชการประจำเพื่อจะได้พูดอะไรได้มากกว่า ที่สำคัญคืองานข่าวเชิงรุกของเรายังมีปัญหา เขาออกยูทิวบ์ได้โดยที่เราไม่รู้ล่วงหน้าเลย เราควบคุมกระบวนการแทบไม่ได้ สิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้ขณะนี้คือปฏิเสธข้อเรียกร้องและชะลอการพูดคุยออกไปเพื่อปรับกลยุทธ์ใหม่ทั้งหมด"
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการ สมช.