คอลัมน์ ในวงเล็บ : ยิ่งลักษณ์ ยิ่งรู้

(ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร - ธนะศักดิ์ ปฎิมาประกร)
ผ่านไปเรียบร้อยสำหรับการให้การทางวาจาของฝ่ายไทยและกัมพูชาต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ในคดีตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี 2505 ระหว่างวันที่ 15-19 เม.ย.2556 โดยไม่เกิดเหตุ “แตกหัก” ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ และไม่เกิดการ “ปะทะ” บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
เป็นผลให้คนใน “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” หายใจหายคอโล่งขึ้น หลังหลายคนรู้สึกหนาวกลางฤดูร้อน เมื่อ “กูรูกฎหมาย” ฟันธงว่าคดีนี้มีแต่ “เจ๊า” กับ “เจ๊ง”
เมื่อ “กูรูการเมือง” จับทางลม-อ่านสัญญาณ ก่อนส่งคำเตือนถึง “ตึกไทยคู่ฟ้า” ให้ระวัง “ม็อบรักชาติ” เพราะคราวนี้เคลื่อนจริง โค่นจริง
โดยมีการรวบรวมเหตุการณ์ในอดีต มาไล่เรียงให้ “ยิ่งลักษณ์” วาดภาพปัจจุบันและอนาคตตามผ่าน 3 ฉาก 3 ช็อต
ช็อตแรก เกิดขึ้นสมัย “รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช” ในเดือนกรกฎาคม 2551 เมื่อทหารกัมพูชาจับ “3 คนไทย” ประกอบด้วย 1 หญิง 1 ชาย 1 พระที่บุกฝ่ารั้วลวดหนาม-เข้าไปนั่งสมาธิในชุมชนชาวเขมรบริเวณเชิงเขาพระวิหาร เพื่อคัดค้านมติคณะกรรมการมรดกโลก ที่ประกาศรับรองการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียวของกัมพูชา ก่อนได้รับการปล่อยตัวในวันเดียวกัน
โดย “3 คนไทย” เป็นสมาชิก “กลุ่มธรรมยาตรากอบกู้รักษาแผ่นดินไทย กรณีเขาพระวิหาร-มณฑลบูรพา” มี “น.ต.ถนิต พรหมสถิต” ประธานสมัชชากรรมกรแห่งชาติ และ “สมาน ศรีงาม” ประธานสภาประชาธิปไตย คอยกำกับการชุมนุมในพื้นที่ อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ
ช็อตที่ 2 เกิดขึ้นยุค “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ช่วงส่งท้ายปีเก่า 2553 เมื่อ “พนิช วิกิตเศรษฐ์” ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ พร้อม 6 คนไทย "เครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ” ถูกจับติดคุกเขมร หลังเดินทะลุแนวชายแดนจากด้าน อ.โคกสูง จ. สระแก้ว เข้าไปในพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตร โดยปัจจุบัน “วีระ สมความคิด” ยังต้องกินข้าวแดง-นอนในกรงแขมร์
ทั้งนี้ “7 เชลย” ล้วนเป็นศิษยานุศิษย์ของ “สมณะโพธิรักษ์” แห่งสำนักสันติอโศก ทั้งสิ้น
ช็อตสุดท้าย คือความเคลื่อนไหวคู่ขนานกับการพิจารณาคดีของศาลโลกของคน 2 กลุ่ม คือ “กลุ่มพลังมวลชนทวงคืนเขาพระวิหาร” นำโดย “พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ” และ “น.ท.สุรินทร์ แสงสนิท” ซึ่งนัดรวมตัวที่สำนักศีรษะอโศก อ.กันทรลักษณ์ จ. ศรีสะเกษ ก่อนยกพลขึ้นปักธงชาติไทยที่ภูมะเขือบนเทือกเขาพนมดงรัก แต่สุดท้ายทำได้เพียงฝากธงไทยให้ทหารไทยถือไว้เท่านั้น
และ “แนวร่วมหัวใจคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดิน” นำโดย “ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์” ที่ประกาศกอบกู้ราชอาณาจักรไทย โดยตั้งต้นจาก จ.บุรีรัมย์ตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค.2556 เคลื่อนมาพักที่ลำตะคอง จ.นครราชสีมาในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลโลก ก่อนปิดเกมที่เมืองหลวงประเทศไทย ภายใต้ยุทธศาสตร์ “สร้างแม่น้ำสายใหญ่ ก่อนไหลเข้ากรุงเทพฯ”
เมื่อขานชื่อแกนนำ-เช็คความเชื่อมโยงโครงข่าย สรุปความได้ว่า “หัวขบวนโค่นรัฐบาลทั้ง 3 ชุด” อำนวยการสร้างโดย “หน้าแหลมฟันดำ” อาศัย “เครือข่ายมหา” ดำเนินการป่วน
ดังนั้นการที่ 2 คนนี้โคจรมาคบ-คิดแผนการร่วมกัน จึงถือเป็นเรื่องที่ “ยิ่งลักษณ์” จะประมาทไม่ได้ เนื่องจากทั้งคู่เคยฝาก “วีรกรรมกลียุค” ให้บ้านเมืองมาแล้วหลายหน
โดยเฉพาะกับเรื่อง “อธิปไตย” ที่จุดเมื่อไรก็ติดเมื่อนั้น ที่สำคัญคือทหารไม่มีทางยืนเคียงฝ่ายที่ทำชาติเสียดินแดนแน่
อย่างไรก็ตาม หลังรับ “คำแจ้งเตือน” ว่ากันว่า “ยิ่งลักษณ์” ทำทีไม่ยี่หระ โดยส่งสารกลับไปยังวอร์รูมติดตามสถานการณ์การเมืองพรรคเพื่อไทย ในทำนองว่า “ไม่ต้องห่วง ปูเอาอยู่ค่ะ” ท่ามกลางความคลางแคลงใจของบรรดา “กูรูการเมือง” ผู้ผ่านสมรภูมิมาก่อนว่าจะเอาอยู่ได้อย่างไร?
ก่อนที่ทุกคนจะถึงบางอ้อ เมื่อมีคำสั่งจาก “ตึกไทยคู่ฟ้า” ให้ฟื้น “คณะดำเนินคดีเขาพระวิหาร” ซึ่งมี “ผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพ” เป็นองค์ประกอบ พร้อมเรียกประชุมอย่างพร้อมเพรียงที่ทำเนียบฯ
เมื่อ “ทีมต่อสู้คดีปราสาทปี 2556” ที่เดินทางไปกรุงเฮก มีนายทหารใหญ่ร่วมคณะหลายคน ไล่ตั้งแต่ รมว.กลาโหม เจ้ากรมแผนที่ทหาร เจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายข้อมูล เจ้าหน้าที่เทคนิค เพื่อ “สนับสนุนข้อมูลของทีมทนาย” และแสดงพลัง “ปกป้องอธิปไตยของชาติ”
และตอกย้ำด้วย “ฉากสุดท้าย” ที่ “ผบ.ทุกเหล่าทัพ” นำทีมโดย “พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร” ผบ.สส. เปิดแถลงข่าวที่กองบัญชาการกองทัพอากาศ (บก.ทอ.) เมื่อวันที่ 18 เม.ย.2556 แสดงความเชื่อมั่นในศาลโลกว่าจะธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม
ฉากเหล่านี้ทำให้ “คนในวอร์รูมเพื่อไทย” หวนนึกถึงความหลังเมื่อ 51 ปีก่อน ที่เชื่อกันว่า “จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์” นายกรัฐมนตรีขณะนั้น รู้อยู่แก่ใจว่าไทยยากจะชนะคดีเขมร จึงส่ง “ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช” อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมทีมทนายต่อสู้คดี ก่อนที่ไทยจะแพ้คดีดังคาด เมื่อศาลโลกตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3
“เสนีย์กับพวกรวม 13 คน” ถูกตราหน้าว่าทำชาติเสียดินแดน ขณะที่ “จอมพลสฤษดิ์” สร้างกระแสชาตินิยมกลบเกลื่อนความผิด ด้วยการประกาศตัดสัมพันธ์เขมร
ตัดสลับกลับมาที่ฉากปัจจุบัน เมื่อ “ยิ่งลักษณ์” รู้ว่ามือสำคัญที่จะช่วยโค่น “รัฐบาล 300 เสียง” ให้ล้มครืนได้คือกองทัพ การจับ “แม่ทัพ-นายกอง” เป็นตัวประกัน จึงเท่ากับได้มือช่วยค้ำอำนาจ-มีกำแพงพิงหลังเรียบร้อย
อีก 6 เดือนข้างหน้า ศาลโลกจะตัดสินให้ไทย “เจ๊ง” หรือ “เจ๊า” ยังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ชมรมคนรัก “นารี 1” พากันเอ่ย-อวยยกใหญ่ว่ายิ่งลักษณ์ ยิ่งอยู่นาน ยิ่งรู้มาก !!!
ชวนอ่านตอนเก่าๆ
คอลัมน์ ในวงเล็บ : ปรองดองหัวหาย
