กูรูศก.เชื่อจีนผงาดการค้า แนะไทยปรับโครงสร้างให้พร้อม อย่าให้หนี้เกินตัว
เจ้าสัวซีพี มั่นใจจีน-อาเซียนก้าวเป็นผู้นำการค้า แนะนักธุรกิจไทยเตรียมพร้อม กล้าลงทุน ด้านศุภชัย เชื่อศก.ไทยโต ชงรบ.ลงทุนโทรคมนาคมเพิ่ม บัณฑูร ห่วงหนี้เกินตัว หวั่นซ้ำรอยสหรัฐ
เมื่อวันที่ 15 มีนาคม สภาธุรกิจไทย-จีน จัดสัมมนา "มองโลก มองไทย สู่ปี 2015" โดยมีนายศุภชัย พานิชภักดิ์ เลขาธิการสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนาหรืออังถัด (UNCTAD) นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมบรรยาย ณ ห้องสยามภาวลัย ชั้น 6 สยามพารากอน
ศุภชัยแนะเพิ่มลงทุนโทรคมนาคมลงทุน ในแผน 2 ลล.บ.
ดร.ศุภชัย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 6% เนื่องจากการส่งออกมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง การท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น มีเงินสะพัดมากขึ้น ทั้งนี้ การที่ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อต้นทุนการนำเข้าสินค้าทุน ขณะที่หนี้สาธารณะของไทยยังอยู่ในเกณฑ์ที่มีเสถียรภาพที่อยู่ที่ 40-45% ต่อจีดีพี
"เห็นด้วยกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลในงบประมาณ 2 ล้านล้านบาท แต่ควรเป็นการลงทุนที่มากกว่าระบบราง หรือรถไฟความเร็วสูง ควรเพิ่มการลงทุนในระบบโทรคมนาคมด้วย ทั้งนี้ มุ่งหวังว่าจะเห็นการทำงานที่ไร้รอยต่อ ที่เป็นการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคทั้งหมด ผ่านนโยบายที่สนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศ ที่จะช่วยลดแรงกดดันเรื่องค่าเงินบาท ได้"
บัณฑูรเตือนระวังสถานะคลังปท. หวั่นหนี้เกินตัว
ขณะที่นายบัณฑูร กล่าวว่า แนวโน้มอำนาจด้านเศรษฐกิจจะย้ายจากตะวันตกมาอยู่ในเอเชียมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศจีน ที่ขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจและมีนโยบายที่ชัดเจนด้นเศรษฐกิจ ไทยจึงควรปรับตัวและแนวความคิดในการขยายตลาดการลงทุนและฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน โดยเฉพาะในกลุ่ม CLMV ได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่าและเวียดนาม ที่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนได้มากในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีต้นทุนในการผลิตที่สูง ต้องเร่งหาแนวทางลดต้นทุน อาทิ การใช้เทคโนโลยี การย้ายฐานการผลิต และการสร้างแบรนด์ให้สินค้า
"ในขณะเดียวกันภาคธุรกิจไทยกำลังถูกท้าทาย จากการที่ประชากรวัยทำงานลดลง จากปัจจุบันประชากรวัยเยาว์ที่จะเข้าสู่วัยแรงงานในอนาคตอยู่ที่ 15% และในปี 2025 จะเหลืออยู่ที่ 12% และกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้น อาจส่งผลให้อนาคตไทยขาดแคลนแรงงาน
นายบัณฑูร กล่าวต่อว่า ขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลให้มีการปรับปรุงและพัฒนาใน 3 ด้านหลักที่สำคัญ เพื่อให้ประเทศไทยมีอนาคตที่ดีสำหรับการเติบโตต่อไป ได้แก่ 1.พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านการศึกษา 2.พัฒนาระบบโทรคมนาคมและคมนาคม และ 3.ปรับปรุงกติกา ระเบียบและข้อกฎหมายต่างๆ
ทั้งนี้ รัฐบาลควรต้องระมัดระวังสถานะทางการคลังของประเทศ ที่มีการใช้จ่ายเกินรับได้ โดยในช่วงแรกอาจจะไม่รู้สึกว่าเป็นอันตราย แต่เมื่อหนี้เพิ่มมากขึ้นจนถึงจุดหนึ่งจะแบกรับภาระหนี้เกินตัว เกิดหนี้สินประเทศ เกิดภาวะเงินเฟ้อ ที่จะแก้ไขได้ยาก อย่างกรณีประเทศสหรัฐอเมริกา ฉะนั้น เรื่องสถานะทางการคลังเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดูแลไม่ให้ในอนาคตต้องมารับกรรม
เจ้าสัวซีพีแนะเปิดโอกาสธุรกิจแรกเกิด
ด้านนายธนินท์ กล่าวว่า ในอนาคตประเทศจีนจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจ นักธุรกิจไทยจึงไม่ควรมองข้ามในการแสวงหาลู่ทางเข้าไปลงทุนและนำสินค้าไทยเข้าไปขายในจีน รวมถึงเชื่อมความสัมพันธ์ที่ดีโดยการนำสินค้าจีนเข้ามาขายกับคนไทยด้วย ในขณะที่ตลาดในสหรัฐอเมริกา ที่กำลังเริ่มฟื้นตัว และเม็ดเงินลงทุนกำลังไหลกลับ ส่วนยุโรป ขณะนี้ยังไม่ฟื้นตัว แต่มั่นใจว่าจะต้องฟื้นตัวได้อย่างแน่นอน ฉะนั้น นักธุรกิจและผู้ประกอบการไทย ต้องศึกษาและหาลู่ทางในการลงทุน จะทิ้งตลาดอเมริกาและยุโรปไม่ได้ โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อลดต้นทุนในการผลิตและลดการใช้แรงงาน
"หากจะเป็นไปได้ต้องเปิดโอกาสให้กับธุรกิจแรกเกิดได้เจริญเติบโต ยังมีธุรกิจไทยอีกจำนวนมากที่เป็นเด็กทางการค้า รอพ่อแม่ให้การสนับสนุนจึงจะต่อสู้ได้ เช่นเดียวกัน หากรัฐบาลเข้าใจส่วนนี้ นักธุรกิจไทยจะไม่ธรรมดาและสู้ในตลาดโลกได้แน่นอน จะเห็นได้ว่าแม้ไทยจะมีการเมืองที่วุ่นวาย แต่เศรษฐกิจก็ยังโตได้ ฉะนั้น หากรัฐบาลส่งเสริมนักธุรกิจไทย เศรษฐกิจจะยิ่งเติบโตได้มากขึ้น"
นายธนินท์ กล่าวด้วยว่า อยากให้รัฐบาลลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงเหลือร้อยละ 16 จากเดิมร้อยละ 20 เพื่อดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติให้เข้ามาตั้งสำนักงานในไทย ที่จะก่อให้เกิดการจ้างงาน และพัฒนาศักยภาพแรงงานไทยได้มากขึ้น ไทยจะมีรายได้มากขึ้นและเก็บภาษีได้มากกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม เมื่อสว่างที่สุดก็จะมืดที่สุด เมื่อเจริญที่สุดวิกฤตก็จะตามมาเสมอ ฉะนั้น ไม่ว่าขณะนี้เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ต้องเตรียมพร้อมรับและมีแผนสำรองสถานการณ์ไว้ตลอดเวลา