จำคุกชาวบ้านคดีที่ดินโคกยาว กองทุนยุติธรรมหอบเงิน 2 แสนประกันตัวยื่นฎีกา
ศาลอุทรณ์ภาค 3 ตัดสิน 2 พ่อลูกจำคุกคดีที่ดินโคกยาว กองทุนยุติธรรมชัยภูมิช่วยประกันตัว 2 แสนยื่นฎีกาต่อ หลัง กก.สิทธิ์ฯใช้ตำแหน่งประกันตัวในศาลชั้นต้น เอ็นจีโอระบุเหตุประกาศป่ารัฐทับที่ทำกินชาวบ้าน
วันที่ 6 มี.ค.56 ที่ศาลจังหวัดภูเขียว จ.ชัยภูมิ นัดอ่านนัดอ่านฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในคดีบุกรุกสวนป่าโคกยาว ซึ่งมีนายทอง กุลหงส์ อายุ 72 ปี และนายสมปอง กุลหงส์ อายุ 48 ปีสองพ่อลูกชาวบ้าน ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ เป็นจำเลยในความผิดข้อหาบุกรุก แผ้วถาง ก่นสร้าง และทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม โดยคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นตัดสินเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.55 ให้จำคุก 4 เดือน โดยไม่รอลงอาญา พร้อมกำหนดหลักทรัพย์ประกันตัวจากรายละ 100,0000 บาทเพิ่มเป็นรายละ 200,000 บาท ซึ่งล่าสุดวันที่ 6 มี.ค.ศาลอุทรณ์ได้มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
ศรายุทธ ฤทธิพิณ เจ้าหน้าที่เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน เปิดเผยว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนจนที่มีอาชีพรับจ้างทั่วไปและหาเก็บเห็ด หน่อไม้ป่าเพื่อยังชีพ จึงไม่สามารถจ่ายเงินประกันได้ ส่วนเงินที่ชาวบ้านรวบรวมกันช่วยเหลือก็ไม่พอ ทำให้ต้องนำหลักทรัพย์ในศาลชั้นต้นของทั้ง 2 รายมารวมกันเพื่อประกันตัวลูกชายออกมาก่อน เนื่องจากมีความพิการทางสมอง ส่วนพ่อต้องถูกจำคุก กระทั่งนายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ได้ใช้ตำแหน่งประกันตัวออกมาเมื่อ 28 มิ.ย. 55 ในศาลชั้นต้น
ซึ่งในช่วงบ่ายของวันที่ 6 มี.ค.ชาวบ้านในนามเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน ได้ประสานไปยังกองทุนยุติธรรมจังหวัดชัยภูมิ ของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ซึ่งได้ช่วยประกันตัวออกมาในวงเงินคนละ 200,000 บาท เพื่อสู้คดีในชั้นฎีกาต่อไป
นายศรายุทธ กล่าวต่อไปว่าข้อพิพาทเรื่องที่ดินระหว่างชาวบ้านยากจน ภาครัฐ กลุ่มทุน เกิดขึ้นเรื่อยมาและเป็นจำนวนมาก ซึ่งกรณีตัวอย่างพื้นที่สวนป่าโคกยาว ต.ทุ่งลุยลาย มีการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนามเมื่อปี 2516 ทับที่ทำกินชาวบ้าน และมีโครงการปลูกสวนป่ายูคาลิปตัสในพื้นที่เมื่อปี 2528 จนเมื่อ 1 ก.ค.54 เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ตำรวจ ประมาณ 200 นาย โดยการนำของนายอำเภอคอนสาร บุกเข้ามาจับกุมชาวบ้านรวม 10 ราย และฟ้องร้องดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติฯโดยเจ้าหน้าที่ป้องกันรักษาป่าที่ ชย.4 คอนสาร เป็นโจทก์ แยกเป็น 4 คดีนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของศาลจังหวัดภูเขียว อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ ล่าสุดศาลชั้นต้นพิพากษาไปทั้ง 4 คดีแล้ว
โดยคดีแรก เมื่อ 22 พ.ค.55 ศาลพิพากษานายคำบาง กองทุย อายุ 65 ปี และนางสำเนียง กองทุย อายุ 61 ปี (สามี-ภรรยา) จำคุก 4 เดือนไม่รอลงอาญา คดีที่ 2 เมื่อ 13 มิ.ย.55 ศาลพิพากษานายทอง และนายสมปอง กุลหงส์ อายุ 48 ปี จำคุก 4 เดือน คดีที่ 3 วันที่ 9 ส.ค.55 ศาลพิพากษานายสนาม จุลละนันท์ อายุ 59 ปี จำคุก 6 เดือน ไม่รอลงอาญา คดีที่ 4 วันที่ 28 ส.ค.55 ศาลพิพากษานายเด่น คำแหล้ อายุ 60 ปี และนางสุภาพ คำแหล้ อายุ 57 ปีจำคุก 6 เดือนไม่รอลงอาญา ส่วนจำเลยอีก 3 รายคือนายบุญมี วิยาโรจน์ อายุ 51, นางหนูพิศ วิยาโรจน์ อายุ 70 ปี (ภรรยานายบุญมี) และนางเตี้ย ย่ำสันเทียะ อายุ 54 ปี ศาลยกฟ้อง
เจ้าหน้าที่เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน กล่าวอีกว่าการที่หน่วยงานภาครัฐประกาศเขตป่าฯทับที่ทำกินชาวบ้าน พร้อมกับอาศัยกลไกกระบวนการยุติธรรมตั้งข้อกล่าวหาชาวบ้านบุกรุกพื้นที่ คำพิพากษามักตกอยู่กับชาวบ้านเป็นผู้กระทำผิด ทั้งนี้ความขัดแย้งเรื่องที่ดินเป็นปัญหาวิกฤตของสังคม ในการรวบรวมข้อมูลคดีความ ข้อกฎหมายที่ใช้ฟ้อง และคำพิพากษาในกระบวนการยุติธรรมควรสะท้อนให้สังคมรับรู้เข้าใจปัญหาว่ากลุ่มผู้ถูกคดีและผู้ต้องหาเป็นเพียงเกษตรกรและคนยากจน เป็นชุมชนและชาวบ้านที่มีวิถีชีวิตพึ่งพาฐานทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งที่ผ่านมาชุมชนเหล่านั้นเรียกร้องให้รัฐแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินและจัดสรรที่ดินให้อย่างเป็นธรรม.