“ไม่ใช่ภาษาก่อการร้าย” ขอที่ทาง‘ภาษามลายูเพื่อสื่อสารสันติ’
“ทำอย่างไรที่จะให้ภาษามลายู ไม่ใช่ภาษาแห่งการก่อการร้ายในสายตาคนทั่วไป จะทำอย่างไรที่จะให้ภาษามลายูนำไปสู่การสร้างความเข้าใจและสันติภาพได้”
เมื่อโอกาสเปิด
คำถามข้างต้น เป็นโจทย์ใหญ่โจทย์หนึ่งที่มีการพูดถึงกันมากในขณะนี้ อันเนื่องมาจากที่ผ่านมา ภาษาที่คนในพื้นที่ชายแดนใต้ของไทยใช้พูดคุยสื่อสารอย่างเป็นวิถีชีวิตปกติ ทว่าแตกต่างจากคนส่วนใหญ่ของประเทศที่ใช้ภาษาไทย อาจถูกมองอย่างหวาดระแวงสงสัย
แต่วันนี้โอกาสเปิดแล้ว โดยเฉพาะในทางนโยบายความมั่นคงของรัฐที่ส่งเสริมในคนในพื้นที่สามารถเรียนรู้ภาษาไทย ภาษามลายู ภาษามลายูถิ่น และภาษาต่างประเทศทั้งในด้านการศึกษาและการสื่อสาร ซึ่งระบุไว้วัตถุประสงค์ข้อที่ 5 ของนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2555 – 2557
รวมทั้งการเกิดขึ้นของสถานีวิทยุและโทรทัศน์ภาษามลายูที่ดำเนินการโดยศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ที่สำคัญคือการเกิดขึ้นของประชาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือประชาคมอาเซียน (ASEAN) ซึ่งมีประชากรกว่า 300 ล้านคนที่พูดภาษาเดียวกับคนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย หรือดินแดน “ปาตานี” ในอีกความหมายหนึ่ง
เมื่อโอกาสเปิดความตื่นตัวของคนในพื้นที่ก็ย่อมต้องมีมากขึ้น หลังจากที่อัดอั้นมานาน ด้วยเกรงว่าภาษามลายูจะค่อยๆวิบัติอย่างที่กำลังเกิดขึ้น อย่างเช่นเด็กรุ่นใหม่ที่มักพูดภาษามลายูปนกับคำในภาษาไทย รวมทั้งการใช้ประโยคที่ผิดเพี้ยนไปจากโครงสร้างทางภาษา เป็นต้น
การเสวนา “ที่ทางภาษามลายูในโลกการสื่อสาร” ที่คณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.)วิทยาเขตปัตตานี 19 ม.ค.56 จัดโดยโรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ (DSJ) ร่วมด้วยศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ สำนักข่าวประชาไท กลุ่ม AWAN BOOK สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกันสลาตัน (Media Selatan) และวิทยาลัยประชาชน ถ่ายถอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์ยะลาเคเบิลเน็ตเวิร์ก สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกันสลาตัน (Media Selatan) และเว็บไซต์ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ อาจเป็นเวทีแรกๆสำหรับประเด็นนี้ มีผู้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษามลายูเพื่อการสื่อสารในชายแดนใต้ เข้าร่วมกว่า 100 คน โดยเฉพาะผู้ผลิตสื่อวิทยุ โทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ สื่ออออนไลน์ ผู้ใช้ผู้เสพสื่อภามลายูในพื้นที่
“Sinaran” ฉบับแรกในรอบ 20 ปี?
เวทีเริ่มต้นด้วยวีดีทัศน์ “ต้นธารภาษามลายู” บอกเล่าความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ของภาษามลายูอักษรยาวี และพัฒนาการตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จากนั้นนายมูฮำหมัด ดือราแม บรรณาธิการ DSJ ได้เปิดตัว “Sinaran” หนังสือพิมพ์ฝึกปฏิบัติเพื่อผลิตนักข่าวและสื่อภาษามลายู ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นหนังสือพิมพ์ภาษามลายูฉบับแรกในรอบ 20 กว่าปีหลังการล่มสลายของนิตยสาร AZAN ในปี 2517 และหนังสือพิมพ์ Fajar ที่ออกมาหลังจากนั้น
ดอรอแม หะยีหะซา หรือ อุสตาซแม แดวอ อดีตบรรณาธิการนิตยาสาร Fajar กล่าวว่าปัจจุบันมีผู้ใช้ภาษามลายูกว่า 300 ล้านคน ทุกปีจะมีการแข่งขันปาฐกถาภาษามลายูของเยาวชนจากทั่วโลก แต่ไม่เคยมีตัวแทนจากไทยหรือปาตานีไปร่วมแข่งขันด้วย สะท้อนว่าเยาวชนบ้านเรามีปัญหาเรื่องการสื่อสารด้วยภาษามลายู
ส่วนนายอัศโตรา โตะราแม อดีตคอลัมนิสต์อภิปรายว่าภาษามลายูมีผู้ใช้มากเป็นอันดับ 7 ของโลก ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เช่น มาเลเซียที่ให้ทุนแก่คนต่างชาติทั่วโลกมาเรียนภาษามลายูต่อเนื่องหลายปี รวมกว่า 70,000 คน เช่นเดียวกับอินโดนีเซียที่มีคนต่างชาติมาเรียนภาษามลายูจำนวนมากด้วย
ดร.ฮามีดิน สะนอ หรือบาบอดิง ปาแดรู กวีมลายู กล่าวว่าปาตานีเป็นทีเดียวที่ยังรักษาอักษรยาวีให้มีชีวิตได้จนถึงปัจจุบัน แต่ประเทศมลายูหันไปใช้อักษรรูมี เพราะได้รับอิทธิพลจากตะวันตก ความสำคัญของภาษามลายูอักษรยาวีคือเชื่อมโยงกับภาษาอาหรับ ซึ่งเป็นภาษาหลักของศาสนาอิสลาม “ปัญหาของภาษามลายูปาตานีอยู่ตรงไหน อยู่ที่ตัวเขียนหรือสำเนียงพูด ความจริงภาษามลายูทั้งหมดมีรากศัพท์เดียวกันแต่มีสำเนียงต่างกัน แต่การเขียนต้องเป็นภาษากลาง ต่างกันตรงที่ปาตานีใช้อักษรยาวีเป็นหลัก”
ทุกคนพร้อม
ในเวทีอภิปราย สะท้อนความหวังและความต้องการที่จะรื้อฟื้นภาษามลายูของคนปาตานีอย่างเห็นได้ชัด พล.ต.ต.จำรูญ เด่นอุดม ประธานคณะกรรมการสถานีวิทยุโทรทัศน์และสถานีวิทยุกระจายเสียงภาษามลายู ที่เพิ่งก่อตั้งมาไม่นาน กล่าวว่าสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งนี้จะเป็นเครื่องมือเรียนรู้และพัฒนาภาษามลายูและเข้าใจถึงอัตลักษณ์ของพื้นที่ อันจะนำไปสู่การแก้ปัญหาต่างๆที่ยืดเยื้อได้
อ.ฟารีดะห์ หะยีเต๊ะ หัวหน้าหลักสูตรวิชาภาษามลายู มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา บอกว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลาเปิดสอนภาษามลายูมาเป็นปีที่ 4 แล้ว และกำลังจะมีบัณฑิตด้านภาษามลายูในปีหน้า เชื่อว่าคนเหล่านี้จะสามารถเติมเต็มด้านการพัฒนาภาษามลายูในพื้นที่ได้อย่างดี
นายอับดุลมุฮัยมิน ซอและห์ หรือ จูและห์ จากมูลนิธิศูนย์ประสานงานตาดีกาชายแดนใต้(Perkasa) กล่าวว่า ได้ผลิตสื่อการเรียนการสอนภาษามลายูอักษรยาวีสำหรับโรงเรียนตาดีกามากกว่า 200 เล่ม และยังผลิตวารสารชื่อ Pelita กว่า 20 ฉบับ เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านการศึกษาและศาสนา แต่ไม่เป็นที่แพร่หลายในวงกว้าง ทำให้เห็นว่าสื่อภาษามลายูไม่เป็นที่นิยมในท้องตลาด ทั้งที่มีสื่อภาษามลายูจำนวนมาก
เสียงจากกลุ่มสื่อใหม่
นายศอลาฮุดดิน กริยา จากกลุ่ม AWAN BOOK คนรุ่นใหม่ที่ต้องการให้ภาษามลายูมีชีวิต เริ่มจากการผลิตหนังสือการ์ตูน 3 ภาษาคือ ไทย มลายูอักษรยาวี รูมี เพื่อสามารถเข้าถึงชีวิตประจำวันทุกครอบครัว เขาบอกว่าสื่อภาษามลายูเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบันทั้งหมดเป็นตำราเรียนและส่วนใหญ่เป็นหนังสือด้านศาสนาอิสลาม “หนังสือการ์ตูนของ Awan Book เป็นเป็นนิทาน เรื่องเล่า มีประกอบภาพที่คนเข้าถึงได้ง่ายและเชื่อว่าจะสามารถทำให้ภาษามลายูเป็นที่คุ้นเคยแก่คนทั่วไปได้มากขึ้น”
อุซตาซคนหนึ่งจากนราธิวาส บอกว่า ตนมีโปรแกรมสอนภาษามลายู iMedia ซึ่งเป็น software คอมพิวเตอร์สำหรับเด็กและคนทั่วไป สามารถทำให้อ่านภาษามลายูได้ภายใน 7 ชั่วโมง
สื่อวิทยุท้องถิ่น
บรรดานักจัดรายการวิทยุภาษามลายูทั้งหมดที่ร่วมเวทีบอกว่าเกือบทั้งหมดสื่อสารด้วยภาษามลายูถิ่น เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายของรายการเป็นคนที่สื่อสารด้วยภาษามลายูถิ่น ซึ่งอาจสวนทางกับบรรดานักวิชาการที่สื่อสารด้วยภาษามลายูมาตรฐาน
เวทีนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาภาษามลายูอย่างแท้จริง เมื่อทั้งนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา รวมทั้งนักจัดรายการวิทยุล้วนต้องการให้ภาษามลายูมีชีวิตในโลกการสื่อสาร แม้มีการถกเถียงอย่างเข้มข้นเรื่องมาตรฐานภาษามลายู แต่ทุกคนก็ต้องการเห็นภาษามลายูเป็นภาษาใช้งาน(Working language) โดยเฉพาะเพื่อรองรับการเข้าสู่ประคมอาเซียน หลายฝ่ายต้องการเห็นสถาบันภาษาที่ทำหน้าที่พัฒนามาตรฐานภาษามลายู ขณะที่นักจัดรายการวิทยุท้องถิ่นต้องการให้มีพี่เลี้ยงช่วยพัฒนาด้านภาษา
มีทีวีแต่ยังไม่มีดารามลายู
นายอับดุลรอแม เจะกายอ เจ้าของสถานีโทรทัศน์ยะลาเคเบิลเน็ตเวิร์ก (YCN) บอกว่าพร้อมเปิดโอกาสให้ทุกคนที่ต้องการผลิตและนำเสนอรายการภาษามลายู “ผมเป็นเหมือนมาลีนนท์ของชายแดนใต้ และเป็นเหมือนกันตนาของพื้นที่ คือเป็นทั้งสถานีโทรทัศน์และผู้ผลิตรายการ แต่ยังไม่มีดารามลายู ผมกำลังรอจากพวกท่านอยู่”
นายแวหะมะ แวกือจิก ผู้อำนวยการสถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกันสลาตัน (Media Selatan) บอกว่า รายการวิทยุของตนเป็นรายการภาษามลายู 80% แม้ผู้ดำเนินรายการไม่ใช่มืออาชีพหรือผู้เชี่ยวชาญภาษามลายู แต่ทุกคนทำงานด้วยอุดมการณ์เพื่อให้ภาษามลายูกลับคืนมา “ถึงเวลาที่ทุกคน ทุกภาคส่วน ต้องทำงานร่วมกันที่จะนำไปสู่ความมีมาตรฐานของภาษามลายู”
คืนชีพภาษามลายู
อาจารย์ชินทาโร่ ฮาร่า ชาวญี่ปุ่นที่สอนภาษามลายูใน ม.อ. บอกว่า ภาษามลายูปัตตานีเสมือนภาษาที่กำลังป่วยไข้ โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ค่อยใช้ภาษามลายูในชีวิตประจำวัน ทั้งๆ ที่พ่อแม่ใช้ภาษามลายู เขาบอกว่าคนปาตานีสามารถใช้ภาษามลายูสำเนียงไหนก็ได้ ทั้งมลายูถิ่นหรือมลายูกลาง ไม่ต้องกังวลเรื่องมาตรฐาน เพราะเมื่อภาษามีชีวิตก็จะเกิดการปรับเปลี่ยนหยิบยืมผสมกลมกลืนจนท้ายที่สุดจะนำไปสู่มาตรฐานเอง
ความหวังของผู้บุกเบิก
อัฮหมัด ลาติฟ อดีตนักเขียนและกองบรรณาธิการนิตยสาร AZAN อาจเรียกได้ว่าเป็นผู้บุกเบิกสื่อภาษามลายูในชายแดนใต้ ก่อนจะออกไปโลดแล่นในวงการสื่อมวลชนต่างแดนเป็นเวลากว่า 40 ปี เขาเล่าว่าครั้งนั้นต้องเร่ขายนิตยสารAZAN ที่ตีพิมพ์เพียง 2,000 เล่มไปตามโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามทั่วทั้ง 3 จังหวัด ต้องขึ้นลงรถเมล์เพื่อวางขายตามร้านหนังสือ แต่สุดท้ายก็ต้องปิดตัวลงหลังจากผลิตได้เพียง 7 ฉบับ ช่วงนั้นมีหนังสือและสื่อภาษามลายูจากมาเลเซียวางขายอยู่ไม่มาก และมีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆกระทั่งช่วงหนึ่งไม่มีสื่อภาษามลายูวางขายอยู่เลย
“เราทิ้งภาษามลายูไปนานมากแล้ว ดังนั้นการเกิดขึ้นของหนังสือพิมพ์ ‘Sinaran’ แม้จะเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ แต่ก็นับว่าเป็นสิ่งที่น่าส่งเสริมเป็นอย่างยิ่ง”
...............................
เหล่านี้คือมุมมองจากวงเสวนา “ที่ทางภาษามลายูในโลกการสื่อสาร” ความเห็นจากนักสื่อสาร ผู้ผลิต ผู้ใช้ผู้เสพ และหลากหลายข้อเสนอเพื่อยกระดับ ‘อักษรยาวี’ ที่ปาตานี .
