วันสิ้นโลกในมุม ดร.ก้องภพ อยู่เย็น “สำคัญที่ จิต-สติ จะพาเราไปอยู่ในที่ ๆ เหมาะสม”
“...วันสิ้นโลกไม่มี มีแต่วันที่มีภัยพิบัติมาก กับวันที่มีสภาพอากาศปกติ”
นี่คือ....คำยืนยันหนักแน่นจาก ดร.ก้องภพ อยู่เย็น ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมการออกแบบเครื่องตรวจจับ คลื่นไมโครเวฟอินฟราเรด องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติหรือนาซา ต่อคำถามที่ว่า “วันที่ 21 ธันวา 2012 นี้จะเป็นวันสิ้นโลกหรือไม่?”
วิศวกรหนุ่มวัย 34 ปีสำทับต่อว่า “วันสิ้นโลกไม่มี มีแต่ช่วงเปลี่ยนยุคซึ่งกำหนดโดยปฏิทินมายัน เป็นการเปลี่ยนยุคในเชิงจิตใจของมนุษย์ แล้วแต่ใครจะตีความ”
เพราะดูเหมือนผู้คนทั่วโลกแม้แต่ในประเทศไทยเองก็มักหวาดวิตกไปกับกระแสลือ "21/12/2012-วันสิ้นโลก" ที่มาจากการตีความยึดโยงกับ "ปฏิทินมายา" ของชนเผ่าโบราณแห่งอาณาจักรมายา
นอกจากนี้ยังมีการลือโดยยึดโยงกับ "ปัจจัยนอกโลกจากอวกาศ" ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ๆ ประกอบกับข้อมูลในทางวิชาการ ยังระบุว่าสามารถ "สร้างหายนะต่อโลก" ดังนั้น ในทุกมุมโลกจึงยังมีคนที่ผวา "หายนะจากอวกาศ"
ดร.ก้องภพ อยู่เย็น จึงใช้โอกาสในเวทีสัมมนา “ถอดรหัสภัยพิบัติ พลิกวิกฤติให้เป็นคำเตือน” เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2555 ที่คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา เพื่ออธิบายองค์ความรู้และข้อมูลที่ตนเองได้เก็บรวบรวมและศึกษามากว่า 3 ปี เกี่ยวกับความแปรปรวนของโลกที่สัมพันธ์กับปรากฏการณ์ทางไฟฟ้า
หากใครเคยติดตามข่าวสารที่ ดร.ก้องภพเคยบรรยายมาก่อนหน้านี้จะทราบว่า “ปัจจัยนอกโลก” ที่ผู้คนหวาดกลัวกันนั้นหมายถึง "พายุสุริยะ"
นักวิทยาศาสตร์ไทยท่านนี้ก็ระบุไว้สรุปได้ว่า พายุสุริยะที่รุนแรงจะเกิดแน่ ๆ ในปี ค.ศ.2013 ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นจะไม่เพียงทำให้โลกปั่นป่วน แต่จะปั่นป่วนทั้งระบบสุริยะ? เพราะปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น จะ "ทำให้ระบบสุริยะหดตัว?" ส่วนกับโลกนั้นแรงปะทะมหาศาลอาจ "ทำให้สนามแม่เหล็กโลกพลิกกลับขั้ว?" ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติที่รุนแรง ทั้งแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด
วิศกรนาซ่าบอกว่าปรากฎการณ์ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่สามารถคาดการณ์ได้ หากเรา “เข้าใจธรรมชาติ”
การศึกษาทำความเข้าใจธรรมชาติของดร.ก้องภพ ใช้สมมติฐานว่าโลกของเราเป็น “ระบบเปิด” อยู่ในอวกาศ มีพลังงานไหลเข้าไหลออกตลอดเวลา ทำให้เกิดสภาวะที่มีความต่างศักย์ของพลังงานอยู่โดยตลอด แล้วธรรมชาติก็จะพยายามปรับทุกอย่างให้เข้าสู่จุดสมดุลอยู่ตลอดเวลา ทำให้แรงทุกอย่างสมดุลกัน หักล้างกันให้ได้มากที่สุด
“สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกเราแน่นอนว่ามีความสัมพันธ์กับสิ่งที่อยู่ภายนอก เหมือนเราที่ออกไปพบเห็นอะไรแล้วจิตก็นำมาคิด “นอกโลก” ก็ถือเป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งในระบบสุริยะหรือในจักรวาล ดังนั้นเมื่อมีอะไรจากนอกโลกเข้ามา โลกก็มีการตอบสนอง ส่วนจะตอบสนองอย่างไรก็ต้องดูกันให้ละเอียดถี่ถ้วน”
“ปรากฏการณ์ธรรมชาติเกือบทุกสิ่งสามารถคาดการณ์ได้ เพราะมีลักษณะเกิดซ้ำ วนเป็นรอบ ๆ เช่น อีกสามเดือนข้างหน้าเราก็รู้ว่าเป็นฤดูร้อน แต่ก็มีบางอย่างที่เรายังไม่เข้าใจ เราก็ต้องหาสาเหตุจากการดูสภาวะที่เข้ามากระตุ้น เพื่อให้เห็นการสั่นไหว ธรรมชาติคือเรื่องของการเกิด-ดับ หรือเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะ เกิดมาแล้วก็ดับไป ทุกอย่างมีเหตุมีผล มีคู่ จะเกิดเป็นคู่เสมอ มีผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ อยู่ดี ๆ แล้วมีอะไรเกิดขึ้นมา ในทางวิทยาศาสตร์ก็ต้องหาสาเหตุที่แท้จริงให้ได้ นี่คือสิ่งที่ผมทำ” ดร.ก้องภพ กล่าว
ส่วนความเห็นแย้งในความเห็นของนักวิชาการ เกี่ยวกับพลังงานจากพายุสุริยะที่อาจส่งผลกระทบให้เกิดแผ่นดินไหว ดร.ก้องภพ ว่า
“ไม่มีฝ่ายไหนถูกหรือผิด มันขึ้นอยู่กับว่าเราเอาข้อมูลส่วนไหนมาวิเคราะห์ เค้าใช้สมมติฐานคนละแบบกับที่ผมใช้ ดังนั้นคำตอบที่เค้าได้ก็คนละแบบกับที่ผมได้ ก็แค่นั้นเอง ความขัดแย้งไม่ได้เกิดขึ้น เป็นเพียงแค่ความเห็นต่างมุมมอง และผมเห็นว่าเค้าก็มีส่วนดี ส่วนของผมก็มีประโยชน์อย่างที่ผมเห็น สุดท้ายก็อยู่ที่ว่าเรามาสร้างความร่วมมือกันดีกว่า เพราะแต่ละคนก็มีความเชี่ยวชาญคนละด้าน”
ผมยืนยันไม่ได้ว่า วันที่ 21 ธันวาคมจะไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เพราะผมไม่ได้เป็นคนกำหนด ปฏิกิริยาของดวงอาทิตย์เกิดขึ้นหลายครั้งได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นวันที่ 21 และขนาดอาจจะใหญ่กว่าวันที่ 21 ก็ได้ เพราะว่า ผมไม่ได้เป็นผู้กำหนด
ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ใหญ่ ๆ ขึ้น ถ้าใช้โมเดลที่ผมทำจากที่ได้ศึกษา คือ เมื่อมีพลังงานขนาดใหญ่จากนอกโลกเข้ามามาก ก็ต้องดูก่อนว่า มันตรงกับโลกหรือเปล่า และมาจากไหนด้วย อาจจะมาจากดวงอาทิตย์ หรือมาจากนอกระบบสุริยะ ต้องลองสังเกตปฏิกิริยาดวงอาทิตย์ก่อนหน้าวันที่ 21 น่าจะประมาณวันที่ 28 แต่อย่างที่ผมบอก อย่าไปเจาะจงวันแค่วันเดียว ให้ดูเป็นช่วงเวลา ให้ดูตลอด หรือให้ติดตามข่าวสาร เพราะว่า มันไม่จำเป็นต้องไปเกิดวันที่ 21 เสมอไป เกิดวันอื่นก็ได้”
และนอกจากข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ที่ดร.ก้องภพอธิบายแล้ว ดูเหมือนอีกสิ่งสำคัญหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ท่านนี้อยากสื่อถึงโดยเฉพาะคนไทย คือเรื่องของ “การมีสติ”
“ฝากให้ทุกคนตระหนักถึงความแปรปรวนของธรรมชาติว่ามันเป็นความไม่เที่ยงบนโลกเรา แต่เราจะต้องมีสติอยู่กับตัวตลอดเวลา ต้องรู้ในภาวะที่มีสิ่งเข้ามากระตุ้นซึ่งหมายถึงพลังงานจากนอกโลก จิตเราก็จะโดนกระตุ้นจากสิ่งที่เราไปคิด ไปเห็น ไปมอง พูดง่าย ๆ คือการมีสติ ไม่ตื่นตระหนกกับสิ่งที่ยังไม่เกิด อะไรที่ยังไม่เกิดก็ไม่ต้องไปคิด เพราะว่ามันยังไม่เกิด ไม่รู้จะคิดไปทำไม
“พอเราได้สัมผัสพลังงานที่ว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเรา มันจะรู้สึกหนัก ๆ แบบอึดอัด บางทีนอนไม่ค่อยหลับ วันนั้นน่ะ มันจะมีผล ถ้าเกิดเป็นเรื่องของพายุสนามแม่เหล็ก มันจะมีความเชื่อมโยงเกี่ยวกับปัญหาด้านร่างกาย ดังนั้นช่วงนั้นก็ควรรักษาสุขภาพให้ดี ๆ อย่างน้อยให้รู้ว่ามันมีปัจจัยภายนอกเข้ามามีผลต่อร่างกายแล้ว
เรามักติดอยู่กับอารมณ์ ๆ เดียว เรายังไม่อยู่ในสถานะที่เป็นกลาง พอเราไม่เห็นความเป็นกลางเราก็นึกว่าสิ่งที่เรายึดติดเป็นสิ่งที่ดี อะไรก็ตามที่ตรงกันข้ามเราจะนึกว่ามันเลว จริง ๆ ไม่ใช่ มันคู่กัน เพียงแต่จิตไปคิดว่ามันดีหรือเลว
คนที่รู้สึกว่าอะไรจะเกิดกับตัวเอง มักจะไม่โดนกับตัวเอง ถึงเกิดก็จะไม่มีอะไรรุนแรง เพราะว่าอันนี้เป็นเรื่องของจิตแล้ว จิตจะนำพาตัวเองไปสู่ที่ที่เหมาะสม ถ้าอยู่ในอาการที่รู้สึกตัว จิตที่ไม่รู้สึกตัวเหมือนกับคนที่ไปอยู่ในที่ที่หนึ่งที่เกิดอุบัติเหตุ การที่เขาไปอยู่ที่นั่นมันมีเหตุและผลทำให้เขาต้องไปอยู่ตรงนั้น”
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :
โลกจะแตก เพราะแตกแยก!! 'นักวิชาการ' โต้วันสิ้นโลก เตือนปชช.มีสติ
นักวิทยาศาสตร์ "นาซา" มีคำตอบ ทำไม 21-12-12 โลกไม่แตก !?!
นักธรณีฯ ชี้หนังฟอร์มยักษ์ ทำมนุษย์จินตนาการเว่อร์ ถึงวันโลกแตก