จ่อปากเหว...อดีตนายกฯ อานันท์ ส่งเสียงเตือน คอรัปชั่นนำ 'หายนะ' มาสู่ประเทศ
“ตราบใดที่เรายังเห็นคนที่มีอำนาจ มีความรับผิดชอบออกมาหลอกประชาชนทุกวัน วันละ 3 มื้อ เราอย่าไปคิดเลยว่า เราต่อต้าน ป้องกันคอร์รัปชั่นในประเทศไทยได้”
หมายเหตุ-วันที่ 13 ธันวาคม นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวปิดงาน “โปร่งใสยามบ่าย: คนไทยไม่โกง” จัดโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย ร่วมกับศูนย์สาธารณประโยชน์และประชาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ
นายอานันท์ กล่าวถึงการคอร์รัปชั่นว่า เป็นเรื่องที่ทุกประเทศประสบปัญหาทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่มีระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ประเทศที่มีระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ หรือเศษหนึ่งส่วนสิบของใบ เพราะฉะนั้นเรื่องคอร์รัปชั่นไม่ใช่เรื่องระบบอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของ ‘คน’ โดยเฉพาะสังคมที่มีพลเมืองที่มีความรู้สึกเป็นเจ้าของประเทศมีส่วนเสียส่วนได้ ในเรื่องการจับจ่ายเงินของรัฐบาล หรือของหน่วยงานธุรกิจก็ดี หากมีความสนใจ มีความเดือดร้อน เร้าร้อนในการแก้ปัญหา ไม่ใช่แค่การพูดการบ่น
นายอานันท์ กล่าวต่อว่า การต่อต้านคอร์รัปชั่นนั้น เป็นปัญหาที่ทุกประเทศต้องประสบ เหมือนกับการลักขโมย การฆ่าคน แต่สิ่งที่ปรากฏเด่นชัดขึ้นทุกวันก็คือ ตราบใดการต่อต้านคอร์รัปชั่น การปราบปรามคอร์รัปชั่น เป็นลักษณะเหมือนตำรวจจับผู้ร้าย จำนวนผู้ร้ายก็จะไม่ลดน้อยลงไปเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น มาตรการของการต่อต้านคอร์รัปชั่นคงไม่ได้อยู่ที่การปราบ การจับแต่เพียงเท่านั้น ต้องมีมาตรการอย่างอื่นควบคู่กันไปค่อนข้างมาก
“มีคนเขียนหนังสือเมื่อเร็วๆ นี้ว่า การต่อต้าน การปราบปรามคอร์รัปชั่น คงไม่ใช่เป็นลักษณะตำรวจจับผู้ร้ายเท่านั้น แต่ต้องเป็นไปในลักษณะของการผสมผสานการจัดการ ในฐานะของการเป็นแพทย์และวิศวกรรม ซึ่งถ้าใช้วิธีการของแพทย์ก็จะมองว่า มันเป็นโรค ซึ่งในความจริงคอร์รัปชั่นก็เป็นโรคของสังคม แต่สำหรับประเทศไทยนั้น นอกจากเป็นโรค เนื้อร้ายแล้ว ยังเป็นเนื้อร้ายที่เรื้อรัง และอาจนำไปสู่หายนะของประเทศได้”
ตั้งแต่เด็กมาผมได้ยินคำว่าคอร์รัปชั่น และเห็นมีผู้พยายามต่อต้านมาค่อนข้างมาก แต่หลาย 10 ปีที่ผ่านมา ระดับคอร์รัปชั่นของประเทศไทยนั้นเพิ่มทะยานขึ้นสูงมาก
“ปีนี้ผมมีอายุครบ 80 ปี และเป็นปีแรกที่ต้องขอสารภาพด้วยความจริงใจ บริสุทธิ์ โดยไม่มีอคติด้วยว่า ปีนี้เป็นปีแรกที่ผมมีความห่วงใยเรื่องคอร์รัปชั่นในเมืองไทยมากที่สุด ตั้งแต่เกิดมา เพราะในอดีตการคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องการให้ค่าน้ำชา ค่าสินบน การให้ของชำร่วย ช่วยเหลือในด้านต่างๆ ระหว่างบุคคลกับบุคคล หรือกลุ่มกับกลุ่มเท่านั้น
แต่ปัจจุบันคอร์รัปชั่นมีความลึกลับมากมาย ไม่ใช่แค่ค่าน้ำชา สินบน หรือซองขาว แต่มีผู้ที่ฉลาดแก้มโกงมากขึ้นจำนวนมาก มีการวางยุทธศาสตร์ มีการวางแผนการณ์ สำคัญที่สุดก็คือ มีการบูรณาการกันอย่างพร้อมเพรียงหมดแล้ว ไม่ใช่เรื่องของคนต่อคน หรือกลุ่มต่อกลุ่มอีกต่อไป ตอนนี้เป็นเครือข่ายหมด ครอบคลุมถึงนักการเมือง ข้าราชการ พ่อค้า นักธุรกิจ สื่อ องค์กรต่างๆ ทั้งรัฐวิสาหกิจ หรือแม้แต่องค์กรอิสระที่รัฐธรรมนูญสร้างขึ้นอย่างสวย ให้เป็นองค์กรตรวจสอบ สุดท้ายสิ่งเหล่านี้นำไปสู่การยึดครองพื้นที่ของประเทศทั้งหมด ทุกพื้นที่ ทุกกิจกรรม ทุกส่วน
สมัยนี้จึงไม่ใช่เรื่องการโกงกิน ทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่เป็นการ ‘กินเมือง’ อะไรขวางซื้อหมด อำนาจเงินกลายเป็นอำนาจสูงสุด คนไม่มีค่าแล้ว หรือถ้าจะมีค่า ก็มีค่าแค่ว่าซื้อได้เท่าไหร่ 1 แสน 2แสน 5 ล้านหรือ 100 ล้านบาท ความมีจิตใจที่โปร่งใส ความมีจิตใจที่อิสระ ความมีจิตใจที่รักประเทศชาติ เป็นส่วนหนึ่งของประเทศชาติจางหายไปหมดแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับอำนาจผูกขาดทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ และระบบ ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่ผมเรียกว่า กินเมือง”
เขายังกล่าวอีกว่า หากจับเรื่องต่างๆ ในระยะ 1-2 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าสิ่งต่างๆ ที่องค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศ หรืออีก 50-60 องค์กรทั่วประเทศ รวมถึงสิ่งที่ตัวบุคคล หรือองค์กรธุรกิจได้พยายามต่อต้านนั้น ต้องยอมรับว่า ไม่มีผล !!
กระนั้นการต่อต้าน การปราบปรามยังคงต้องทำต่อไป แต่สิ่งที่ควรจะทำเพิ่มก็คือ การรวมพลัง การผนึกกำลัง มียุทธศาสตร์ที่ถูกต้องในการต่อต้าน ปราบปราม บวกกับการป้องกัน
"ผมจำได้ว่าสมัยรัฐบาล ผมเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อ 20 ปีมาแล้ว ประเทศประสบปัญหาในเรื่องเอชไอวี หรือเอดส์ ตอนแรกเราบอกปัญหานี้เราไม่มี ต่อมาบอกว่ามี แต่มีน้อย แต่เมื่อตัวเลขปรากฏว่า ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตของเอดส์มากที่สุด ประเทศหนึ่งในโลก ทางรัฐบาลผมจึงได้ถกเถียงกันในเรื่องนี้ ทั้งในการประชุมคณะรัฐมนตรีชุดเล็ก ชุดใหญ่เป็นเวลาช้านาน และมีผู้หวังบอกว่า มันถึงเวลาแล้วที่เราจะปฏิเสธข้อเท็จจริงอันนี้ได้ ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าเราจะดำเนินการอย่างไรในการแก้ปัญหานี้"
ซึ่งมันก็มีวิธีอยู่ 2 วิธี คือ การรักษาพยาบาล โดยแนวทางนี้หมอ พยาบาล สาขาแพทย์ให้การสนับสนุนมาก แต่ในอีกแง่หนึ่งกลุ่มนักคิดก็บอกว่า เราควรให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการป้องกันมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการให้การศึกษา เปิดเผยความจริง ให้ข้อมูลว่าติดต่อกันได้อย่างไร และอะไรที่ไม่ติดต่อ เพื่อให้คนเข้าใจเรื่องนี้ดีขึ้น
ผลปรากฏว่าเราทำทั้งสองอย่าง แต่งบประมาณส่วนใหญ่จะเน้นไปในด้านการป้องกัน ภายใน 1-2 ปี เห็นได้ว่า นโยบายที่รัฐบาลใช้เป็นนโยบายที่ถูกต้อง มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมากมาย จนกระทั่งหลายปีต่อมา นโยบายและวิธีการของรัฐบาลไทยเป็นที่รับรู้ และหลายประเทศได้นำไปใช้ จนประสบความสำเร็จ
ฉันใดฉันนั้น ถ้าเปรียบกับคอร์รัปชั่นแล้วต้องทำทั้ง 2 ทาง ทั้งปราบปราบ ต้องดูแล ในลักษณะเป็นหมอ หาสมมุติฐานของเรื่อง เหตุของการคอร์รัปชั่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความไม่ยุติธรรมทางสังคม การเข้าไม่ถึงระบบยุติธรรม การเข้าไม่ถึงโอกาสในการมีการศึกษาที่ดี การเข้าไม่ถึงระบบการพัฒนาที่มีความทั่วถึง มีความเป็นธรรมต่อบุคคลในชุมชนนั้นๆ การเข้าไม่ถึงระบบตุลาการ การเข้าไม่ถึงข้อมูลข้อเท็จจริง รวมถึงการการเข้าไม่ถึงของต่างๆ นานาที่เป็นสิทธิที่คน ประชาชนควรจะได้
ในขณะเดียวกันในแง่การป้องกัน ต้องใช้แบบการของวิศวกรรม คือใช้ระบบทำนุบำรุงรักษา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการศึกษาก็ดี การดูแลตรวจสอบ จริยธรรม พยายามหาบุคคลที่มีคุณธรรม มีความซื่อตรง เข้าดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ การปลูกฝังจิตสำนึกในสื่อต่างๆ ของประเทศไทย เพราะแม้สื่อที่ดีที่ซื่อตรงจะมีมาก แต่มีความเป็นห่วงต่อเจ้าของธุรกิจ เพราะสื่อปัจจุบันอยู่ภายใต้อำนาจ การคุ้มกัน การครอบครองของนักธุรกิจ ที่มองสื่อเป็นจุดหารายได้มากกว่าเครื่องมือปราบ ป้องกันการฉ้อราษฎร์บังหลวงของประเทศ
อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ในสมัยรัฐบาลตนนั้น ได้มีการตั้งแปลคำว่า Transparency เป็นคำไทยขึ้นมาว่า ‘โปร่งใส’ ซึ่งในสมัยนั้นเวลาพูดคำนี้ขึ้นมา คนมักจะยิ้มกัน แต่คำนี้มีความหมายมาก
“ความโปร่งใส เปรียบเสมือนคนอยู่ในบ้าน กลางวันถ้าปิดประตูบ้านหมด และในเวลากลางคืนก็ไม่เปิดไฟ คนข้างนอกจะไม่เห็นอะไรเลย แต่ถ้าเราเปิดบ้านให้โปร่งใส เปิดประตูหน้าตา ให้คนเห็นมากขึ้น และกลางคืนก็เปิดไฟให้คนเห็นได้ ความพยายามที่จะทำอะไรที่ไม่อยากให้คนเห็นก็จะลดน้อยลง คนเราถ้าจะโกงกินแล้ว อย่างน้อยก็จะมีความเกรงใจ มีความเป็นห่วงว่าใครจะเห็นหรือไม่
อย่างไรก็ตาม การที่จะเปิดบ้านให้สว่างไสว โปร่งใส ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะทำอย่างไรอย่างหนึ่ง แต่ต้องปรับระบบของเมืองไทย ทั้งเรื่องระบบกฎหมาย ที่ไม่ใช่มีเฉพาะความยุติธรรมอย่างเดียว แต่ต้องมีความเป็นธรรมด้วย ต้องมีการปรับระบบตุลาการให้มีความเที่ยงธรรมมากกว่านี้ ปรับปรุงระบบสื่อให้มีจิตสำนึกมากขึ้น ปรับปรุงระบบการศึกษา ดูแลการพัฒนา การใช้งบประมาณของประเทศชาติให้สร้างคุณประโยชน์ให้คนส่วนใหญ่ ไม่ใช่คนส่วนน้อย
ที่สำคัญ ต้องย้ำถึงมาตรการที่จะป้องกัน เพราะปัจจุบันนี้คนโกงกินมันมีมากเหลือเกิน มีมากเสียจนคนอย่างผม ซึ่งเป็นคนไทย ที่มีความภูมิใจที่เกิดมาเป็นคนไทย บางครั้งบางคราวมีความละอายใจ
ส่วนการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นของไทยจะเกิดประสิทธิภาพได้นั้น นายอานันท์ กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ จะต้องทำให้คนไทยรู้สึกว่า เงินที่โกงกิน เป็นเงินของเรา เรามีส่วนเป็นเจ้าของ ต้องมีความเดือดร้อน เร้าร้อนในการแก้ปัญหานี้ โดยรวมพลัง รวมความคิดกัน บูรณาการกระทำของคนทุกกลุ่ม ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ
นายอานันท์ ยังกล่าวอีกว่า นโยบายปัจจุบันจะนำความหายนะมาสู่ประเทศ ซึ่งตนเศร้าว่าคนดีๆ ที่มีความรู้ ก็ตกหลุม ติดกับอยู่กับนโยบายพวกนี้ ดังนั้น สิ่งหนึ่งที่อยากฝากก็คือคำว่า คอร์รัปชั่น มีความหมายมากกว่าการทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวงเท่านั้น คนที่คอร์รัปชั่นนั้นไม่ใช่คอร์รัปชั่นเรื่องเงินอย่างเดียว แต่จิตใจคอร์รัปชั่น เพราะฉะนั้นความหมายของคอร์รัปชั่นจึงไม่ใช่เรื่องเงินอย่างเดียว แต่.
“ตราบใดที่เรายังเห็นคนที่มีอำนาจ มีความรับผิดชอบออกมาหลอกประชาชนทุกวัน วันละ 3 มื้อ เราอย่าไปคิดเลยว่า เราต่อต้าน ป้องกันคอร์รัปชั่นในประเทศไทยได้"
ยิ่งทุกวันนี้เปิดหนังสือพิมพ์มาแต่ละข่าว เป็นข่าวโกหก เป็นข่าวอำพราง เป็นข่าวหลอกลวงประชาชน เป็นข่าวที่เขานึกว่า เขาสามารถที่จะหลอกลวงประชาชนชนต่อไปได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นความผิดของพวกเราทั้ง 65 ล้านคน ที่ไม่มีความเดือดร้อน ไม่มีความเดือดแค้น ไม่มีความรู้สึกแม้กระทั่งว่า ความหายนะมันใกล้ตัวเราเข้ามาเรื่อยๆ
ความหายนะอันนี้เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ตอนนี้ปรากฏการณ์มันมีเกิดขึ้น ถ้าเกิดเราจะงมงายที่จะปดอย่างเดียว งมงายว่าประเทศอื่นก็มีคอร์รัปชั่นเหมือนกัน งมงายที่จะรับแต่ความเก่ง แต่ไม่ยอมเห็นความเลว ผมก็มองว่าอนาคตคนไทยนั้นจะมืดมนมาก ทั้งที่ประเทศนี้มีความสมบูรณ์มีความสงบสุขมากช้านาน
และถ้าเผื่อจะตาย ก็ตายเพราะคนไทยด้วยกัน คนไทยที่มองเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว มองเห็นเงินเป็นพระเจ้า มองเห็นคนไทยเป็นตุ๊กตา ผลัดกันรับผลัดกันส่ง ดังนั้น เราคงไม่อยากเห็นเมืองไทยอยู่ในสภาพเช่นนั้น เพราะถ้าเมืองไทยอยู่ในสภาพเช่นนั้นแล้ว คนที่จะลำบากไม่ใช่เรา แต่เป็นลูกหลานของเรา