เด็กไทยกว่า 3 แสน เป็น“โรคสมาธิสั้น” ชี้ไม่รักษาโตขึ้นมีสิทธิ “ก้าวร้าว ”
รมช.สธ.เผยผลสำรวจเด็ก ป.1-6 พบเป็นโรคสมาธิสั้นกว่า 3 แสนราย ชี้ไม่รักษาโตไปมีบุคลิกก้าวร้าว อธิบดีกรมสุขภาพจิต ระบุ ตี-ลงโทษ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ได้ ต้องให้คำชม -รางวัล
วันที่ 10 ธันวาคม นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า จากการตรวจเยี่ยมกรมสุขภาพจิต พบว่าอิทธิพลการเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ได้ส่งผลต่อปัญหาทั้งด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิตของประชาชนมากขึ้น ในกลุ่มเด็กปฐมวัย พบว่า มีเด็กที่มีพัฒนาการไม่สมวัยมากถึงร้อยละ 30 ระดับความฉลาดทางสติปัญญาหรือไอคิวเฉลี่ย 98.59 จุด ซึ่งยังต่ำกว่าเกณฑ์ปกติที่อยู่ที่ 100 จุด ซึ่งในจำนวนนี้ร้อยละ 49 มีไอคิวต่ำกว่าปกติ และมีเด็กที่มีปัญหาสติปัญญาบกพร่อง คือมีระดับไอคิวต่ำกว่า 70 จุด มากถึงร้อยละ 6.5 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากล 3 เท่าตัว ซึ่งกำหนดให้มีกลุ่มนี้มีไม่เกินร้อยละ 2
นายแพทย์ชลน่าน กล่าวต่อว่า โรคในเด็กที่น่าเป็นห่วงอีกโรคหนึ่ง และจะมีผลต่ออนาคตของเด็กไทย คือโรคสมาธิสั้นหรือโรคเอดีเอชดี (ADHD : Attention Deficit Hyperactivity Disorder) หรือที่เรียกกันติดปากว่า โรคไฮเปอร์แอคทีฟ (hyperactive) พ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าที่ควร เนื่องจากไม่ได้คิดว่าเด็กป่วย โดยโรคนี้มักพบในเด็กชาย เด็กจะไม่สามารถจดจ่อกับอะไรได้นานๆ มีอาการหุนหันพลันแล่น อยู่ไม่สุข ควบคุมตัวเองไม่ได้
"องค์การอนามัยโลกให้ความสำคัญปัญหานี้มาก เนื่องจากหากไม่รักษาตั้งแต่เด็ก จะมีผลต่อการเรียน ต่ออนาคตของเด็กเองและอาจถูกทำร้ายจากผู้ปกครองหรือญาติได้ จากความไม่เข้าใจ ผลสำรวจในกลุ่มเด็กไทยที่กำลังเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 -6 ที่มีจำนวนประมาณ 5 ล้านคน พบว่าเป็นโรคสมาธิสั้นร้อยละ 6.5 คาดว่าจะมีเด็กไทยป่วยเป็นโรคนี้ประมาณ 310,000 ราย ขณะที่ทั่วโลกพบเด็กเป็นโรคนี้ร้อยละ 5"
ทั้งนี้จากรายงานของสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ พบว่าเด็กที่ป่วยเป็นโรคนี้หากไม่รักษา จะทำให้ 2 ใน 3 หรือประมาณร้อยละ 70 ของเด็กที่ป่วยมีอาการจนถึงผู้ใหญ่ จะมีผลเสียต่อทั้งต่อเด็กและสังคม โดยพบว่า 1 ใน 4 ทำผิดกฎจราจร มีบุคลิกก้าวร้าว อีก 1 ใน 10 มีปัญหาใช้สารเสพติด หรือมีปัญหาสุขภาพจิตถึงขึ้นพยายามฆ่าตัวตาย ซึ่งมีร้อยละ 5 ที่ฆ่าตัวตายได้สำเร็จ จึงได้มอบนโยบายให้กรมสุขภาพจิต เร่งเผยแพร่ความรู้เรื่องโรคและวิธีการสังเกตุพฤติกรรมผิดปกติของลูกหลาน เพื่อที่จะพาไปรักษาตั้งแต่ยังเด็ก และรักษาหายขาดได้ โดยขณะนี้โรงพยาบาลจิตเวชทุกแห่ง รวมทั้งโรงพยาบาลศูนย์ทุกจังหวัด สามารถให้การรักษาได้
ด้าน นายแพทย์วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า โรคสมาธิสั้น เป็นกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นตั้งแต่วัยเด็กตั้งแต่ก่อนอายุ 7 ขวบ ยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดโรคที่แท้จริง แต่มักจะพบในผู้หญิงที่สูบบุหรี่ หรือดื่มเหล้าระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อพฤติกรรม อารมณ์ การเรียน และการเข้าสังคมกับผู้อื่นของเด็ก ไม่ใช่เด็กปัญญาอ่อน เด็กกลุ่มนี้จะมีระดับไอคิวปกติ อาการที่เป็นสัญญานโรค จะปรากฎเห็นชัดเจน 3 อาการ ได้แก่ ขาดสมาธิ ขาดความสามารถในการควบคุมตัวเอง และซุกซน
"เด็กสมาธิสั้นส่วนใหญ่จะมีปัญหาการเรียน หรือเรียนได้แต่ไม่เต็มศักยภาพ ดังนั้นจึงแนะนำให้ผู้ปกครองและครูที่ดูแลเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น เรียนรู้เทคนิคที่ถูกต้องเพื่อช่วยในการจัดการ กับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมบางอย่างของเด็ก การตีหรือการลงโทษทางร่างกายเป็นวิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ได้ผลและจะมีส่วนทำให้เด็กมีอารมณ์โกรธหรือแสดงพฤติกรรมต่อต้านและก้าวร้าวมากขึ้น"
สำหรับวิธีการที่ได้ผลดีกว่า อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า คือ การให้คำชมหรือรางวัลเมื่อเด็กแสดงพฤติกรรมที่ถูกต้องและเหมาะสม หรือควบคุมพฤติกรรมตนเองได้ โดยแนะนำให้งดกิจกรรมที่เด็กชอบหรือตัดสิทธิอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม วิธีสังเกตว่าเด็กเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่ สามารถดูได้จากการมีสมาธิ เด็กจะไม่สามารถทำงานที่ครูหรือพ่อแม่สั่งจนสำเร็จ ไม่มีสมาธิในขณะทำงานหรือเล่น มักไม่ค่อยฟังเวลาพูดด้วย วอกแวกง่าย ขี้ลืมบ่อยๆทำงานผิดพลาดบ่อย ทำของใช้หรือของส่วนตัวหายบ่อย
ในเรื่องของอาการซุกซน สามารถดูได้โดย เด็กจะมีพฤติกรรมยุกยิก อยู่ไม่สุข นั่งไม่ติดที่ หรือชอบนั่งโยกเก้าอี้ ชอบวิ่ง หรือปีนป่ายสิ่งต่าง ๆ พูดมาก พูดไม่หยุด ตื่นตัวตลอดเวลาหรือดูตื่นเต้นง่าย ชอบโพล่งคำตอบเวลาครูหรือพ่อแม่ถามโดยที่ยังฟังคำถามไม่จบ หากพบว่าลูกหลานมีอาการเหล่านี้ ขอให้ปรึกษาจิตแพทย์ สามารถโทรสายด่วนสุขภาพจิต 1323 หรือ 1667 หรือสอบถามที่สายด่วนวัยรุ่นของสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ 02-248-9999 หรือดูในเวปไซต์ www.smartteen.net