แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
“วสิษฐ” เล่าเรื่องพ่อหลวง บอก “ไม่มีอะไรสู้ความเท็จ ได้ดีเท่าความจริง”
พล.ต.อ.วสิษฐ เล่าพระราชกรณียกิจพ่อหลวง ทรงเป็นปราชญ์เรื่องดิน-น้ำ หาแนวทางแก้ปัญหาให้ราษฎร แจงในหลวงทรงมีธรรมะเพียงพอ ประท้วงท่านได้ ท่านไม่ท้อ ไม่กริ้ว ไม่เสียพระทัย
เมื่อเร็วๆ นี้ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตหัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ กล่าวในงาน สัมมนา "พอเพียงตามรอยเท้าพ่อ" ที่จัดโดยห้องสมุดนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ถึงเรื่องราวความประทับใจและแง่คิดดีๆ จากที่ได้ถวายงานรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า จากที่เคยได้ถวายงานใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้ได้ทราบว่า พระองค์ประกอบพระราชกรณียกิจอย่างหนัก ออกเยี่ยมเยียนประชาชนทั่วประเทศอย่างทรงติดดิน พระองค์ทรงเห็นชีวิตและเห็นทุกข์จริงๆ ของประชาชน จึงได้มั่นพระทัยและอยู่เป็นเพื่อนทุกข์ของประชาชนมาจนทุกวันนี้
อีกทั้งได้ศึกษาเรื่องดินและน้ำด้วยพระองค์เอง และการพูดคุยสอบถามจากประชาชนทั่วทุกทิศทุกแห่งที่พระองค์เสด็จฯ ไป เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาให้ประชาชน จนเป็นที่ยอมรับว่า พระองค์ทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องดินและน้ำมากที่สุดคนหนึ่งของโลก
การติดตามทุกข์สุขของราษฎรอีกรูปแบบหนึ่งของพระองค์ คือ การใช้วิทยุ ซึ่ง พล.ต.อ.วสิษฐ เล่าว่า ทรงติดตามวิทยุทุกข่ายของราชการในสมัยนั้น เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์บ้านเมืองและความทุกข์ยากของประชาชน พระองค์จึงทราบถึงพิบัติภัย ภัยธรรมชาติ และเหตุการณ์ของบ้านเมืองตลอด แม้กระทั่งยามที่พระองค์ประชวร หมอกราบบังคมทูลให้งดพระราชกิจวัตร ก็ยังทรงตอบวิทยุ
"ผมเห็นอย่างนั้นจึงได้เขียนจดหมายประท้วงกราบบังคมทูลท่านว่า พระองค์ไม่ได้พักผ่อนพระวรกายตามคำแนะนำของแพทย์ และเช้าวันรุ่งขึ้นก็บันทึกพระราชกระแสตอบกลับมา ว่า
การตอบวิทยุนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย ถือเป็นการพักผ่อน และที่ผมบอกว่า จะบวชให้เมื่อหายป่วยนั้น พระองค์ตอบว่า หากเราตายถึงจะอนุญาตให้บวชหน้าไฟได้ แต่เราเหนียว เราไม่ตาย
เมื่อได้ทราบความและข้อความเตือนสติอื่นๆ เช่นนั้น ผมก็ได้เตือนตัวเอง ระลึกถึงและปฏิบัติตามคตินั้นอยู่เสมอๆ ทำให้ผมทราบว่า รัชกาลนี้ประท้วงท่านได้ ท่านทรงติดดิน ไม่มีอะไรที่ขวางกั้นระหว่างพระเจ้าแผ่นดินกับประชาชน เห็นได้จากมีคนถวายฎีกาปีละหลายพันฉบับ ก็ถึงมือท่านทั้งนั้น และท่านก็ได้อ่านทุกฉบับ"
พล.ต.อ.วสิษฐ เล่าถึงหลักธรรมะที่ได้รับจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า มีหลายบท แต่ที่เด่นชัดบทหนึ่ง คือ อิทธิบาท 4 ที่ใช้ในการทำงาน ได้แก่
1.ฉันทะ มีความพอใจในงานและรักงานที่ทำ
2.วิริยะ ความพากเพียร บากบั่นที่จะทำให้สำเร็จ
3.จิตตะ การเอาใจจดใจจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ อย่างแน่วแน่ ไม่วอกแวก
และ 4.วิมังสา ทบทวน ไตร่ตรองสิ่งที่ทำไปแล้ว
ทั้งนี้ พระองค์ยังทรงทำสมาธิ อานาปานสติ กำกับลมหายใจอย่างสม่ำเสมอจนเชี่ยวชาญ และเป็นอาจารย์ให้กับผู้ใกล้ชิดในวังทุกคน
"อยากจะเรียนไว้ด้วยว่า ที่พูดกันมากว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงท้อแท้ที่เหตุการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แต่ผมขอยืนยันไว้เลยว่า เพราะพระองค์ปฏิบัติธรรม จึงไม่มีพระอาการท้อแท้ ไม่หวั่นไหวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ใครด่าท่านก็ไม่กริ้ว ไม่เสียพระทัย เพราะธรรมะของพระองค์อยู่ในระดับที่สามารถเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างเป็นปกติ"
พล.ต.อ.วสิษฐ บอกทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า ระยะนี้มีคนกำลังพยายามทำลายประเทศไทย และการทำลายประเทศไทยทางลัดที่สุด คือ ทำลายพระเจ้าอยู่หัว เพราะพระเจ้าอยู่ทรงเป็นที่รวมใจของคนไทยทั้งประเทศ ตนเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นความลับและเชื่อว่าทุกคนรู้และได้ยิน ฉะนั้น หากทุกคนห่วงบ้านเมืองจริง สิ่งที่ควรทำขณะนี้ คือ ทำความเข้าใจกับผู้ที่อยู่ใกล้ๆ ตัว ทั้งลูกหลานและเพื่อนฝูง ให้รู้ว่าพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงทำอะไรแก่บ้านเมืองมาบ้าง
"ตลอดเวลาที่ทรงครองราชย์ฯ มาจนวันนี้กว่า 60 ปี ท่านไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากทำประโยชน์แก่ประชาชนชาวไทย ที่ทรงประกาศไว้ในพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อปี 2493 ว่า
"เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวสยาม"
"เป็นสัญญาที่พระเจ้าอยู่หัวได้ให้ไว้กับคนไทยทั้งชาติ และทรงรักษาสัญญานั้นไว้โดยไม่ละเมิดเลย พิสูจน์ได้ด้วยการปฏิบัติของพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมราชินีนาถ ผมจะพูดอย่างนี้ไปตลอดทุกครั้ง เพราะผมเชื่อว่า ไม่มีอะไรที่จะสู้กับความเท็จ ได้ดีไปกว่าความจริง สิ่งที่พูดคุยกันนี้ คือความจริงที่พบเห็นและเผชิญมาด้วยตัวเอง ผมอยากจะฝากเรื่องนี้ไว้เพื่อให้ประเทศไทยของเราได้ยั่งยืนต่อไป"