บัวแก้วโวยโอไอซีเขียนมติเป็นลบกับไทย เล็งส่งหนังสือท้วง
ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศแถลงผิดหวังเลขาฯโอไอซี จัดทำรายงานมติที่ประชุมเกี่ยวกับปัญหาชายแดนใต้ใช้ถ้อยคำเป็นลบกับไทยเกินจริง เตรียมส่งหนังสือประท้วง ขณะที่เลขาฯศอ.บต.ชี้โอไอซีไม่ได้สรุปไทยดับไฟใต้ไม่คืบ แค่ตั้งข้อสังเกตเรื่องการส่งเสริมการสอนภาษามลายูคืบหน้าน้อย ยันบรรยากาศการประชุมสุดชื่นมื่น ด้านแกนนำครูใต้ถกรัฐมนตรีช่วยศึกษาฯลงตัว เปิดเรียน 3 ธ.ค. ขณะที่โรงเรียนบ้านบางมะรวดที่เพิ่งถูกเพลิงเผาส่อปิดยาว
นายจุลพงศ์ โนนศรีชัย ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดแถลงเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 พ.ย.2555 ชี้แจงข่าวเกี่ยวกับมติที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศองค์การความร่วมมืออิสลาม (โอไอซี) ครั้งที่ 39 ที่ประเทศจิบูตี ตำหนิไทยแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ล่าช้า และแสดงความผิดหวังที่ยังคงบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) รวมถึงการคงกำลังทหารจำนวนมากในพื้นที่ต่อไป
นายจุลพงศ์ กล่าวว่า ได้เป็นตัวแทน นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไปร่วมประชุมโอไอซี ในฐานะที่ไทยเป็นประเทศผู้สังเกตการณ์ถาวร ซึ่งการประชุมโอไอซีเป็นกรอบความร่วมมือของประเทศมุสลิมที่มีขึ้นทุกปี สำหรับปีนี้มีหัวข้อ "การรวมกันเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในโลกมุสลิม" โดยได้พิจารณาถึงสถานการณ์การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และการพัฒนาประเทศมุสลิม รวมทั้งพูดถึงสถานการณ์ความรุนแรงในประเทศมุสลิม และประเทศที่ชาวมุสลิมเป็นชนกลุ่มน้อยและมีชุมชนมุสลิมในประเทศนั้นๆ เช่น ปาเลสไตน์ ซีเรีย โรฮิงญาในพม่า ไซปรัส และอินเดีย
สำหรับประเทศไทยซึ่งอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีมุสลิมเป็นชนกลุ่มน้อยและไม่ได้เป็นสมาชิกโอไอซี ที่ประชุมไม่ได้หยิบยกปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ขึ้นหารือเป็นการเฉพาะ อีกทั้งประเทศตุรกีซึ่งเป็นประเทศแนวหน้าของโอไอซี ยังได้แสดงความชื่นชมไทยว่าพยายามพัฒนาพื้นที่ชายแดนใต้ได้ดีขึ้น โดยระหว่างการประชุมไม่มีประเทศใดท้วงติงเกี่ยวกับการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยเลย
อย่างไรก็ดี รายละเอียดที่ปรากฏในเอกสารรายงานสรุปผลการประชุมตามที่เป็นข่าวนั้น มาจากเลขาธิการโอไอซี (นายเอกเมเลดดิน อิซาโนกลู) โดยระบุว่าการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ของรัฐบาลไทยคืบหน้าน้อยกว่าที่ควรจะเป็น และยังมีข้อกังวลใน 3 เรื่อง คือ
1.การคงกำลังทหารในพื้นที่ ซึ่งโอไอซีเห็นว่ามากเกินไป
2.การคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในพื้นที่ ซึ่งโอไอซีเห็นว่ากระทบกับการใช้ชีวิตปกติของประชาชน
3.การเปิดให้คนมุสลิมในพื้นที่ได้มีสิทธิและตัดสินใจได้น้อยเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนา รวมถึงการให้ใช้ภาษามลายูในการเรียนการสอนในโรงเรียน
ผิดหวังเขียนมติเป็นลบ-จ่อส่งหนังสือทักท้วง
นายจุลพงษ์ กล่าวต่อว่า ข้อห่วงกังวลของโอไอซีในลักษณะดังกล่าวที่มีต่อไทยเกิดขึ้นทุกปี ซึ่งในโอกาสนี้เขาได้พบกับเลขาธิการโอไอซี และ นายซาอิด คาสเซม เอล-มาสรี ที่ปรึกษาเลขาธิการโอไอซี โดยได้ยืนยันความตั้งใจของรัฐบาลต่อการดำเนินการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้และการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เข้าถึง เข้าใจ พัฒนา และการสอนภาษามลายู
"ประเทศไทยรู้สึกผิดหวังต่อภาษาที่เลขาธิการโอไอซีใช้ในรายงานมติการประชุมที่ไม่ได้สะท้อนการดำเนินการที่เป็นจริงในทิศทางบวกของไทย ทั้งๆ ที่ได้พูดคุยกันแล้ว ฉะนั้นหากจะร่วมกันทำงานต่อไป โอไอซีต้องยอมรับในสิ่งที่ไทยดำเนินการด้วย ซึ่งจะช่วยเกื้อกูลความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับโอไอซีในอนาคต ส่วนเรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯนั้น หากสถานการณ์ดีขึ้นก็พร้อมพิจารณายกเลิก แต่โอไอซีต้องเข้าใจว่าสถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังมีความรุนแรง จึงจำเป็นต้องคงไว้จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย"
นายจุลพงษ์ กล่าวด้วยว่า หลังเดินทางกลับจากการประชุม ได้มีการหารือภายในกระทรวงต่างประเทศ โดย นายสุรพงษ์ จะมีหนังสือไปถึงเลขาธิการโอไอซี เพื่อแจ้งถึงถ้อยคำในมติโอไอซีที่ต้องสมดุลและสะท้อนบทบาทของไทยต่อการแก้ไขปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่แท้จริงมากกว่านี้
"ทวี"ยันถกโอไอซีชื่นมื่น – ปัดตำหนิไทยแก้ใต้ไม่คืบ
ด้าน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ซึ่งร่วมคณะกับนายจุลพงษ์ เดินทางไปร่วมประชุมโอไอซีที่ประเทศจิบูตี ในทวีปแอฟริกา ระหว่างวันที่ 15-17 พ.ย.ที่ผ่านมาด้วย กล่าวกับ “ทีมข่าวอิศรา” ว่า จริงๆ แล้วบรรยากาศการประชุมเป็นไปด้วยดี ไม่มีสมาชิกโอไอซีชาติใดตำหนิไทยเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีแต่ชื่นชม
ส่วนที่มีข่าวว่าโอไอซีไม่พอใจที่ไทยแก้ไขปัญหาไม่คืบหน้า หรือมีความก้าวหน้าน้อยนั้น พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ตามเอกสารรายงานผลการประชุมไม่ได้หมายความว่าไทยแก้ไขปัญหาในภาพรวมไม่คืบหน้า แต่หมายความเฉพาะเรื่องการส่งเสริมการสอนภาษามลายูในโรงเรียนที่มีความคืบหน้าน้อยเท่านั้น ขณะที่เรื่องอื่นๆ ก็ไม่มีอะไร และปีนี้ก็ไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์กรือเซะ ตากใบ เหมือนการประชุมปีก่อนๆ ซึ่งน่าจะเป็นเพราะรัฐบาลได้ดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างเป็นระบบไปแล้ว
"รายงานผลการประชุมในส่วนที่เกี่ยวกับไทย ปีนี้ดีกว่าปีก่อนๆ มาก สำหรับเรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่โอไอซีเป็นกังวล เราก็ยอมรับว่ายังใช้อยู่ ก็ต้องพยายามชี้แจงทำความเข้าใจกันต่อไป" พ.ต.อ.ทวี ระบุ
ส.ส.ประชาธิปัตย์แนะตั้งทีมถก-ทำงานร่วมโอไอซี
วันเดียวกัน “สำนักข่าวเนชั่น” ได้สัมภาษณ์พิเศษ นายพีรยศ ราฮิมูลา ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยนายพีรยศ ระบุตอนหนึ่งถึงการทำงานร่วมกับโอไอซี ซึ่งเป็นองค์กรระดับโลกที่มีอิทธิพลสูงที่สุดในกลุ่มประเทศมุสลิม ว่า เหตุใดรัฐบาลจึงไม่ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาแล้วกำหนดกรอบที่ชัดเจนในการทำงานร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศ อย่าไปมองว่าองค์กรเหล่านี้จะเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของไทย แต่องค์กรต่างประเทศอาจจะรู้ก็ได้ว่าใครคือส่วนหัวของฝ่ายขบวนการที่สร้างสถานการณ์อยู่ในพื้นที่ ฉะนั้นไทยไม่ควรตั้งรับอย่างเดียว แต่ต้องใช้นโยบายเชิงรุกด้วย
"รัฐบาลควรตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่ง โดยกำหนดกรอบการพูดคุยกับโอไอซีว่าเรื่องไหนที่เราทำได้ เรื่องไหนที่เราทำไม่ได้ ข้อจำกัดของไทยเรามีอะไรบ้าง แต่ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้น ฝ่ายความมั่นคงโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.รมน. (ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร) และ ผอ.ศอ.บต. (ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้) ควรเชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับงานด้านความมั่นคง และผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกเหล่าทัพ มาหารือกันว่าปัญหาภาคใต้นั้น ประเทศไทยจะเดินอย่างไร"
"ส่วนข้อเสนอของโอไอซีที่ให้มีการพูดคุย หรือ dialogue นั้น ผมมองว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย เพราะเกิดปัญหาขัดแย้งมานานแล้ว แต่เรายังไม่รู้ว่าเรารบอยู่กับใคร และไม่รู้ว่าใครคือหัวหน้าที่แท้จริง เพราะขบวนการในภาคใต้มีหลายขบวนการ ถ้าเราจัดคณะบุคคลที่ได้รับความเห็นชอบและพูดไปในทิศทางเดียวกัน เช่น ตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่ง แล้วแจ้งให้โอไอซีทราบว่าเรายินดีทำงานร่วมกับเขาโดยมีเป้าหมายสำคัญคืออะไร ผมเชื่อว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาได้ระดับหนึ่ง" นายพีรยศ กล่าว
แกนนำครูใต้ถกรัฐมนตรีช่วยศึกษาฯลงตัว-เปิดเรียน 3 ธ.ค.
ด้านความคืบหน้ากรณีสมาพันธ์ครูสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีมติให้ปิดการเรียนการสอนโรงเรียนใน จ.ปัตตานี ทั้งหมด 332 แห่ง เพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย ภายหลังเกิดเหตุการณ์สังหารครูอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรายล่าสุดคือ นางนันทนา แก้วจันทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านท่ากำชำ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี วัย 51 ปี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมานั้น
ล่าสุดเมื่อวันพฤสบดีที่ 29 พ.ย. แกนนำครูได้หารือถึงแนวทางการแก้ไขปัญหากับ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการแล้ว ระหว่างเดินทางไปร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพครูนันทนา ที่วัดโรงวาส ต.ท่าเรือ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี
นายบุญสม ทองศรีพราย ประธานสมาพันธ์ครู 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า รัฐมนตรีและหน่วยงานในพื้นที่ทั้ง ศอ.บต. และกองทัพภาคที่ 4 รับปากที่จะดูแลความปลอดภัยครู และดำเนินการตามข้อเสนอต่างๆ ที่แกนนำครูเคยเสนอไว้ทั้งหมด รวมถึงสวัสดิการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกสังกัดเพื่อเป็นขวัญกำลังใจด้วย ฉะนั้นคาดว่าในสัปดาห์หน้าโรงเรียนในพื้นที่จะเปิดการเรียนการสอนได้ (วันจันทร์ที่ 3 ธ.ค.)
7 มาตรการใหม่รักษาชีวิตครูใต้
สำหรับมาตรการใหม่ในการรักษาความปลอดภัยครูและบุคลากรทางการศึกษา มีทั้งสิ้น 7 ข้อ คือ
1.มาตรการด้านโรงเรียน การดูแลความปลอดภัยโรงเรียนให้เพิ่มมิติชุมชนเข้าไปมีส่วนร่วมกับโรงเรียนอย่างจริงจรัง ดึงผู้นำ 4 เสาหลักไปร่วมคิดและวางระบบ
2.มาตรการด้านชุมชน ให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการป้องกันการก่อเหตุรุนแรงกับครู
3.มาตรการด้านเส้นทาง เพิ่มมาตรการในการรักษาความปลอดภัยเส้นทาง จาก 3 ฝ่ายเป็น 5 ฝ่าย คือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตำรวจ ทหาร อส. (อาสารักษาดินแดน) และผู้นำศาสนา
4.มาตรการด้านการสื่อสาร พัฒนาระบบการสื่อสารให้สั้น มีประสิทธิภาพ และหลายช่องทาง จัดทำคู่มือแบบพกพาหรือคู่มือเผชิญเหตุแบบพกพา
5.มาตรการด้านบริหารงานบุคคล ให้นำมิติด้านความมั่นคงมาประกอบการพิจารณาในการบริหารงานบุคคล
6.มาตรการด้านแผน ให้ยึดแผนการรักษาความปลอดภัยครูเป็นแผนหลักในการปฏิบัติของหน่วยกำลัง
7.มาตรการด้านการติดตามประเมินผล ให้คณะทำงานติดตามประเมินผลจัดระบบรักษาความปลอดภัยปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงจัง เพื่อนำประเด็นข้อเสนอแนะของครูมาปรับแผนในการปฏิบัติงานระดับจังหวัด
โรงเรียนบ้านบางมะรวดส่อปิดยาวหลังถูกเพลิงไหม้
ด้านความคืบหน้าเพลิงไหม้อาคารเรียนโรงเรียนบ้านบางมะรวด หมู่ 1 ต.บางมะรวด อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี เมื่อหลังเที่ยงคืนของคืนวันพุธที่ 28 พ.ย.ต่อเนื่องวันพฤหัสบดีที่ 29 พ.ย. จนทำให้อาคารเรียนครึ่งตึกครึ่งไม้ 2 ชั้นได้รับความเสียหาย รวมทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์และแทบเล็ตใหม่เอี่ยม 80 เครื่องที่ได้รับมอบจากรัฐบาลนั้น
หลังเกิดเหตุ "ทีมข่าวอิศรา" ได้เดินทางลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยเฉพาะเบื้องหลังการเกิดเพลิงไหม้ เนื่องจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นอุบัติเหตุไฟฟ้าลัดวงจร หรือถูกลอบวางเพลิง
นายมูฮัมหมัด เจะเลาะ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านบางมะรวด กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นไฟฟ้าลัดวงจร แต่ก็ไม่ได้ตัดทิ้งประเด็นการลอบวางเพลิง และหลังจากนี้จะต้องหารือกับคณะครูเรื่องการทอดเวลาการปิดการเรียนการสอนออกไป เพราะอาคารเรียนที่เกิดเพลิงไหม้เป็นหัวใจของโรงเรียน เครื่องมือ เอกสารสำนักงาน และอุปกรณ์การเรียนวอดไปกับกองเพลิงทั้งหมด
อย่างไรก็ดี จากการสอบถามชาวบ้านหลายคน ล้วนเชื่อว่าสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้น่าจะมาจากการลอบวางเพลิงมากกว่า
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : อาคารเรียนโรงเรียนบ้านบางมะรวดวอดทั้งหลัง (ภาพโดย อับดุลเลาะ หวังหนิ)
ขอบคุณ : เนื้อหาข่าวบางส่วนจากสำนักข่าวเนชั่น