“ยิ่งลักษณ์” แจงทำงานหนัก 7 วัน ยันมูลค่าส่งออกข้าวยังเต็งหนึ่ง วอนเห็นใจชาวนา
“ยิ่งลักษณ์” ตอบอภิปรายไม่ไว้วางใจ ยันทำงานหนัก 7 วัน แจงงบน้ำโปร่งใส มูลค่าส่งออกข้าวยังเป็นแชมป์ “อยากเห็นจำนวนเงินมากกว่าจำนวนตัน”
วันที่ 26 พ.ย. 55 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลวันที่ 2 หลังจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านอภิปรายซักฟอก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งมี 2 ประเด็นหลักได้แก่ ผลกระทบและความไม่โปร่งใสในโครงการรับจำนำข้าว และไร้มาตรการป้องกันการทุจริตคอรัปชั่นในภาครัฐ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ลุกขึ้นชี้แจงว่าตนไม่เคยละเลยความรับผิดชอบในการบริหารประเทศ แต่ลักษณะการทำงานเป็นการมอบหมายให้ผู้รับผิดชอบโดยตรงแต่ละเรื่องได้แก่ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในแต่ละกระทรวง และไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายงานแต่จะติดตามเป็นระยะๆ ดังนั้นที่ผ่านมาเมื่อมีการตั้งกระทู้ถามในสภาฯจึงได้มอบหมายให้ผู้รับผิดชอบโดยตรงเป็นผู้ตอบคำถาม ทั้งนี้ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง รัฐบาลได้แก้ปัญหาอุทกภัย วางแผนการบริหารราชการแผ่นดิน และเร่งรัดนโยบายที่แถลงไว้ต่อสภา
“ดิฉันทำงานไม่ได้หยุดค่ะ ทำงานตลอด 7 วัน ทุกอย่างทำเต็มที่ ดิฉันมีความตั้งใจทำงานและให้เกียรติในส่วนของนิติบัญญัติและรัฐสภา” น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาต่างๆที่สืบเนื่องมาจากรัฐประหารปี 2549 และต้องแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก รวมทั้งการพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกร แก้ปัญหายาเสพติด และเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนด้วย
น.ส.ยิ่งลักษณ์ตอบการซักฟอกประเด็นบริหารจัดการน้ำว่า เป็นการบริหารภายใต้สถานการณ์ไม่ปกติคือวิกฤตอุทกภัย และอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณปกติได้ รัฐบาลจำเป็นต้องดึงงบประมาณกลาง 1.2 แสนล้านบาทมาแก้ปัญหา และด้วยความร่วมมือทุกภาคส่วนก็สามารถผ่านวิกฤตการณ์และฟื้นเศรษฐกิจได้ภายใน 6 เดือน เห็นได้จากจีดีพีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรก 0.4 เปอร์เซ็นต์เป็น 4.4 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสสอง ทั้งนี้การใช้งบประมาณบริหารจัดการน้ำ 1.2 แสนล้านบาทนั้นมีขั้นตอนต่างๆซึ่งผ่านการกลั่นกรองจากคณะอนุกรรมการ 3 ชุดก่อนเสนอต่อคณะรัฐมนตรี โดยเงิน1.2 แสนล้านบาทนี้ใช้เยียวยาประชาชนและเกษตรกร 4.5 หมื่นล้านบาท มีเงินเหลือส่งคืนกลับเข้าคลังจำนวน 6,200ล้านบาท นอกจากนี้การกู้ยืมเงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน 3.5 แสนล้านบาทเป็นเรื่องจำเป็นและเป็นนโยบายของรัฐบาลในการเชื่อม 25 ลุ่มน้ำ เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งอย่างยั่งยืนในความรับผิดชอบของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.)
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตอบการซักฟอกโครงการรับจำนำข้าวว่าเป็นนโยบายที่มุ่งเพิ่มรายได้แก่เกษตรกร และสามารถยกระดับราคาข้าวเปลือกในตลาดเพิ่มขึ้นได้ร้อยละ 8 โดยงบประมาณที่ใช้ในโครงการจำนำข้าว 1 รอบปีมูลค่า 4.1 แสนล้านบาทนั้นเป็นวงเงินที่รวมพืชผลเกษตรอื่นๆเช่นยางพาราและมันสำปะหลังไว้ด้วย ขณะนี้มีการใช้งบประมาณไป 359,160 ล้านบาท คาดว่าสิ้นปี 2556 จะมีรายได้คืนเข้าระบบประมาณ 2.4 – 2.6 แสนล้านบาท และในฐานะที่ตนเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ได้กำชับไปยังนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (รมว.พาณิชย์) ทุกครั้งว่ากระบวนการต้องเป็นไปโดยถูกต้องโปร่งใสและไม่ให้ขาดทุนเกินโครงการประกันราคาข้าวของรัฐบาลก่อน
โดยขอร้องให้เห็นใจชาวนาซึ่งจะมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ทั้งนี้ระยะยาวจะมีมาตรการป้องกันทุจริตด้วยการติดตั้งกล้องซีซีทีวี ณ จุดรับจำนำข้าว นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการเก็บข้อมูลทุกขั้นตอนตั้งแต่การขึ้นทะเบียนเกษตรกร โดยมีการตรวจสอบเชิงรุกตลอดกระบวนการภายใต้การดำเนินงานของคณะกรรมการอำนวยการตรวจสอบเพื่อป้องกันการทุจริตในการรับจำนำข้าวการเยียวยา ฟื้นฟูและป้องกันสาธารณภัย และการใช้จ่ายเงินงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีนายเฉลิม อยู่บำรุงเป็นประธาน
ประเด็นไทยเสียแชมป์ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลก น.ส.ยิ่งลักษณ์ชี้แจงว่าปริมาณส่งออกข้าว ม.ค.–ต.ค.55 ของไทยเป็นอันดับ 3 รองจากเวียดนามและอินเดีย แต่ราคาข้าวเฉลี่ยของไทยอยู่ที่ 679 เหรียญสหรัฐต่อตัน ขณะที่เวียดนามอยู่ที่ 445 เหรียญสหรัฐต่อตันนั้น ยืนยันว่าไทยเป็นที่ 1 ด้านมูลค่าการส่งออก ทั้งนี้จากผลการสำรวจของสถาบันต่างๆสะท้อนว่านโยบายจำนำข้าวเป็นที่พอใจของประชาชนส่วนใหญ่
“ในฐานะที่เป็นคนไทย ดิฉันคงอยากเห็นจำนวนเงินมากกว่าจำนวนตันค่ะ” น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าว
สำหรับประเด็นแทรกแซงแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการกระทรวงกลาโหม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชี้แจงว่า นายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจแทรกแซง ต้องเคารพการตัดสินของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและคณะกรรมการที่ดูแล ส่วนความเชื่อมั่นของไทยในสายตาต่างประเทศ นายกฯกล่าวว่า 1 ปีที่ผ่านมารัฐบาลสร้างความเชื่อมั่นให้ประเทศ โดยตนเดินทางไปเยือน 23 ประเทศ ผู้นำ 11 ประเทศเดินทางเยือนไทย มีการจัดประชุมนานาติในไทย 12 ครั้ง สะท้อนความสำคัญว่าไทยสามารถเป็นศูนย์กลางภูมิภาคอาเซียน ตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 6.38 แสนล้านบาท เป็น8.62 แสนล้านบาท(ม.ค. – ต.ค.55) ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้เพิ่มขึ้นจาก 19.2 ล้านคนเป็น 20.8 ล้านคนต่อปี
ประเด็นรัฐบาลไร้มาตรการในการป้องกันทุจริตคอรัปชั่นภาครัฐ (ซึ่งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เคยเสนอรัฐบาล เช่น ให้อุดช่องโหว่ในกรทุจริตโดยการประกาศและคำนวณราคากลางในการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆผ่านเว็บไซต์เพื่อเปิดเผยต่อสาธารณชน) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชี้แจงว่ารัฐบาลได้จัดตั้งโครงการ 1 กรม 1 ป้องกันการโกง ตั้งสายด่วนรับเรื่องราวร้องทุกข์ในทุกจังหวัด
ส่วนประเด็นการแก้ไขปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐบาลน้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯภายใต้หลักการเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา มาส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน พัฒนาการศึกษา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ภายใต้การดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปก.กปต.)ที่ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อให้การทำงานในพื้นที่ภาคใต้ของทุกหน่วยงานดำเนินสอดคล้องกันแบบบูรณาการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากนั้น นายอภิสิทธิ์ ได้ขอใช้สิทธิชี้แจง โดยระบุว่า แม้ว่านายกฯ จะระบุว่ามีตัวเลขเงินจากการจำหน่ายข้าวเพิ่มขึ้น แต่เท่าที่ดูพบว่า เงินที่เข้ามาลดลงเรื่อยๆ
ที่มาภาพ ::: Posttoday http://bit.ly/QkOs7I