รู้เท่าทัน “ความรุนแรง” ในแรงเงา

กระแสความแรงของละคร “แรงเงา” ทำให้ผู้เขียนต้องกลับไปย้อนดูละครเรื่องนี้อีกหลายครั้งเพื่อสืบค้นวิเคราะห์ความหมายของการแสดงออกถึงความรุนแรงที่ปรากฏในละคร
ละครเรื่องนี้มีความสนุกในแบบที่เรียกว่า “ละครขายสบู่” (soap opera) ที่มาแปลกันภายหลังในเชิงวิชาการว่า “ละครน้ำเน่า” เพราะพล็อตเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรัก เรื่องผัวๆ เมียๆ และการชิงรักหักสวาทแก้แค้น ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จและนิยมของการเล่าเรื่องในละครแบบน้ำเน่า
อาจพูดว่า สนุกได้เต็มที่ในฐานะละครน้ำเน่า
ผู้ผลิต หรือ ผู้จัดละครเรื่องนี้ ตีโจทย์แตกในการทำละครดราม่าและรู้ระดับรสนิยมของผู้ชมเป็นอย่างดี รู้ว่าผู้ชมชอบดูเพราะเรื่องราวที่เข้มข้นของการตามล้างตามผลาญแก้แค้นของ “มุนินทร์” พี่สาวของ “มุตตา” เมียน้อยอย่างไม่เต็มใจนัก? ของท่าน “ผอ.” และรู้ว่า “การแก้แค้นเอาคืน” ของมุนินทร์คือเสน่ห์ที่ทำให้ผู้ชมติดตามเรื่องนี้อย่างไม่ลดละ กระทำของมุนินทร์ มักนำหน้าตัวละครทุกตัวในเรื่อง และนำหน้าการคาดเดาผู้ชมทางบ้าน 1 ก้าวเสมอ สิ่งที่มุนินทร์ทำ ความสะใจที่เกิดขึ้นหลายครั้ง คือการตีแสกหน้าสังคมไทยในเรื่องผัวๆ เมียๆ ที่จอมปลอมในสังคมไทย
ที่อยากจะเขียนจริงๆ ไม่ใช่เรื่องนี้ แต่อยากจะพูดถึงความรุนแรงที่ปรากฏในละคร คิดว่าเราควรดูละครเรื่องนี้อย่างจริงจัง ไหนๆ ก็ผลิตออกมาให้คนติดกันงอมแงมแล้ว
อย่างไรก็ตาม ก็ยังยืนยันว่าละครเรื่องนี้มิได้มีความเหมาะสมสำหรับเด็กและเยาวชนเลย
(1) ความรุนแรงเชิงกายภาพ
ความรุนแรงทางกายภาพ คือ การกระทำที่แสดงถึงพฤติกรรม การกระทำ ทั้งทางกาย ต่อร่างกาย หรือวาจา ความคิด ในกรณีที่เป็นละคร คือ ฉากที่แสดงออกถึงความรุนแรง เช่น ฉากตบตี ฉากทำร้ายร่างกาย การฆ่า การบาดเจ็บเสียชีวิต หรือกระทั่งความรุนแรงจากการใช้ภาษา การด่า จิก กัด ติฉิน นินทาผู้อื่นๆ การใช้วาจาเชือดเฉือนในฉากหรือบทสนทนาของตัวละครต่างๆ
“สังคมแวดล้อมของมุตตา” ได้จำลองภาพที่ทำงาน ที่มีเพื่อนคอยอิจฉา ริษยา คอยจิกกัด และทำร้ายเมื่อมีโอกาส และสังคมภายนอก ที่มีผู้ชายหาเศษหาเลยและเอาเปรียบเธอ
ความหรรษาของละครเรื่องนี้ คือ การแก้แค้นของมุนินทร์ต่อชะตากรรมของมุตตา น้องสาวของเธอ (ก็เหมือนพล็อตหนังแก้แค้นทั่วไป ที่ตัวเอกผูกใจเจ็บพยาบาทผู้ร้าย และตามล้างแค้นทั้งเรื่อง)
ความรุนแรงในเรื่องนี้ จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะละครปูพื้นฐานที่มาของความรุนแรงเอาไว้มาตั้งแต่ต้นเรื่อง ความมักมากในกาม การติฉินนินทา อิจฉาริษยา และความอาฆาตมาดร้าย ฯลฯ (เพราะเช่นนี้เด็กๆ จึงไม่ควรดู)
พูดง่ายๆ คือ ตัวละครทุกตัวละครเร่องแรงเงา ต่างก็ “แร๊งส์” ด้วยกันทั้งหมด กระทั่งคนที่ดูเสแสร้งว่าเป็นคนดีอย่าง “รัชนก” เพื่อนรุ่นน้องแอ๊บแบ๊วของมุตตา
ที่สำคัญ ละครเรื่องนี้ ทำให้ตัวละครดูสมจริงมากขึ้น เพราะมีมิติ ฉายภาพบุคลิกของผู้คนที่ดูเป็นจริง คือตัวละครเป็นสีเทา มีทั้งขาวและดำในตัวเอง เสมือนคนเราจริงๆ (round character) ที่มีทั้งดีและเลวในตันตน ไม่แบนราบ (flat character)
“นพนภา”, “เจนภพ” ก็มีทั้งความดีและชั่วในตนเอง ละครเรื่องนี้ เช่นเดียวกับมุนินทร์และตัวละครอื่นๆ
ขอนอกเรื่องตรงนี้หน่อย, การพิจารณาเรตติ้งละครในปัจจุบัน ที่ได้ “น18+” นั้นก็มักดูเอาจากความถี่บ่อยของฉากความรุนแรง, ระดับของความรุนแรงที่ปรากฏ (ดู 3 อย่าง คือ พฤติกรรมความรุนแรง ฉากเกี่ยวกับเรื่องเพศ และการใช้ภาษา) หากเป็นภาพยนตร์ตามพรบ.วิดีทัศน์ฯ เมื่อได้เรตติ้ง “น18+” ต้องออกอากาศหลังเวลาสี่ทุ่ม (22.00 น.) เพียงแต่ว่าคนกำกับดูแลเรตติ้งในวิทยุโทรทัศน์คือ “กสทช.” มิใช่กระทรวงวัฒนธรรม! ปัญหาจึงเกิดขึ้นง่ายๆ ว่า (1) กสทช. จะจัดการเรื่องนี้อย่างไร และ (2) ทางผู้จัด ผู้ผลิต จะจัดการตัวเองในเรื่องนี้อย่างไร?
กลับมาเรื่องความรุนแรงกันต่อ
(2) ความรุนแรงเชิงโครงสร้างในสังคม
ละครทุกเรื่อง จะมีความรุนแรงที่สมเหตุสมผล ก็ต้องดูว่าวางโครงเรื่อง ที่มาได้ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง (structural violence) หมายถึง กลไกทางสังคม ระบบ ระเบียบ มายาคติ หรือความเชื่อบางอย่างในสังคมนั้นๆ ที่ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในเรื่องสิทธิ บทบาท และหน้าที่ ในที่นี้คือ “อุดมการณ์ความคิดสังคมชายเป็นใหญ่” (patriarchy ideology)
ความรุนแรงเชิงโครงสร้างสามารถดูได้จาก “ฉากหลัง, โครงเรื่อง” ที่ฉายภาพบริบทของสังคมโลกผู้หญิง ที่อยู่ในโลกที่มีความไม่เท่าเทียม โลกที่ผู้ชายมีอำนาจมากกว่าผู้หญิง โดยมีท่านผอ. เป็นตัวแทนของอำนาจ ตั้งแต่การมีเลขาฯ หน้าห้องที่มีแต่ผู้หญิง การเป็นข้าราชการที่มีอำนาจ มีหน้ามีตาในสังคม เป็นผู้ชายที่สังคมให้ความนับถือ ยอมรับในความสำเร็จ แม้กระทั่งคุณเมียหลวง “นพนภา” ที่แม้จะร่ำรวยมีเงินมีทอง ก็ยังไม่ได้รับความยอมรับในสังคมมากเท่าสามี
ว่าไปแล้วเธอแต่งงานกับท่านผอ.ด้วยความรัก หรือความพลาดหรือจำยอมก็แล้วแต่ แต่ที่แน่ๆ เธอมิได้มีอำนาจเท่าเทียมหรือมากกว่าสามีเลย หนำซ้ำยังเจ็บช้ำน้ำใจเพราะสิ่งที่สามีกระทำต่อเธอ
สิ่งที่สถาปนาความมีอำนาจให้กับท่านผอ. คือ “ความคิดที่ว่า ผู้ชายมีภรรยาได้หลายคน คือ คนที่มีบุญ มีวาสนา” เช่นเจ้าขุนมูลนายในอดีต การที่มีเมียมาก คือ การแสดงอำนาจอย่างหนึ่งในทางปกครอง ทั้งที่จริงแล้วเหตุผลทางจิตวิทยาก็คือความรู้สึกต้องการอำนาจ การควบคุมคนอื่นๆ และมากกว่านั้นคือ ความมักมากในกามารมณ์ หรือไม่รู้จักพอ หรือไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจประพฤติตนในศีลธรรมของผู้ครองเรือน
เหล่านี้รวมเข้ากันเป็น “ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง” ที่กดทับชีวิตของผู้หญิงให้อยู่ในฐานะต่ำต้อย ไร้ค่า หากผู้หญิงจะลุกขึ้นมาทำอย่างที่ผู้ชายทำ ก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นคนเลว เป็นหญิงไม่ดี เป็นคนเลวของสังคม
“นพนภา” คือ เหยื่อจากความรุนแรงเชิงอำนาจของผู้ชายในฐานะสามี “เจนภพ” ส่วน “มุตตา” คือ เหยื่อของความมักมากไม่รู้จักพอของ “ท่านผอ.” ในฐานะผู้บังคับบัญชาที่ไม่ใช้หลักธรรมในการปกครอง ส่วนมุนินทร์นั้น เติบโตมาในสังคมฝรั่ง ที่เชื่อเรื่องสิทธิ ความเท่าเทียมกันระหว่างหญิงชาย จึงโกรธแค้นและไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับน้องนาวเธอมากที่ต้องเป็นเมียน้อย
ที่จริงแล้ว “มุนินทร์” ไม่ได้ต่อสู้กับท่านผอ. เจนภพแต่อย่างเดียว แต่เธอเอาคืนกับโลกที่ผู้ชายเป็นใหญ่ในสังคม สู้กับกับอำนาจและความไม่เท่าเทียมของผู้หญิงที่ถูกผู้ชายกระทำ และโปรดอย่าเข้าใจผิดว่าเธอทำเพื่อต่อสู้ปกป้องสิทธิของเมียน้อย, เพราะเธอเองก็รู้สึกอยู่ลึกๆ เช่นกันว่า “มุตตา” น้องสาวของเธอก็มีส่วนผิดในเรื่องนี้ที่เผลอใจยอมตกเป็นเมียน้อยท่านผอ.
ตัวละคร “นพนภา” เป็นตัวละครที่น่าเห็นใจที่สุด เพราะเธอไม่รู้ว่าเธอกำลังสู้อยู่กับอะไร หรือควรสู้กับอะไร การที่เธอเทียวไล้เทียวขื่อฟัดกับเมียน้อยและสามีนั่นเป็นเรื่องที่น่าเวทนา เพราะคติที่เชื่อว่า “เสียทองเท่าหัว ไม่ยอมเสียผัวให้ใคร” ซึ่งเป็นความคิดเก่าที่กดทับปัญหา เธอน่าจะจัดการปัญหาสาเหตุของปัญหาที่ตัวสามีเธอ หรือยอมหย่าและรักษาครอบครัวและลูกๆ ไว้น่าจะดีที่สุด
แต่เธอทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะเธอเป็นคนที่คาดหวังความสำเร็จดีเลิศทุกอย่างในชีวิต ตามนิสัยแบบนักธุรกิจหญิง และเธอชอบควบคุมสมาชิกทุกคนในครอบครัว รวมไปถึงสามี-เจนภพ นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งด้วยที่ธรรมชาติดิบของผู้ชายจึงมาหาเมียน้อยเพราะรู้สึกว่าทำให้ตนเองมีอำนาจควบคุม
ขณะที่ “เจนภพ” นั้นฉายภาพตัวละครชายที่เสมือนผู้ชายไทยในสังคมส่วนมาก(ในยุคเก่า) คือ เจ้าชู้ กะล่อน โกหก และชอบใช้อำนาจของตนเองมาตอบสนองความต้องการ ที่บ้าน เขาถูกปฏิบัติเป็นผู้ตาม ตกเป็นรองภรรยาทุกด้าน แต่ที่ทำงานเขาคุมได้ทุกอย่าง เป็นข้าราชการใหญ่ มีคนนับหน้าถือตา เขาใช้อำนาจนี้กับผู้หญิงและเลขาหน้าห้อง
เจนภพนั้นเป็นตัวละครที่มีปมปัญหาอย่างหนึ่งเช่นกัน คือ “ยอมเท่าเทียมกับผู้หญิงไม่ได้” คือ อยู่ในสังคมที่เชื่อว่าผู้ชายต้องนำและอยู่เหนือกว่าผู้หญิงเท่านั้น สภาพแวดล้อมทางสังคมกดดันให้เขาไม่มีทางเลือก เขารู้สึกว่าถ้าอยู่ภายใต้อำนาจของผู้หญิงจะทำให้เขาหมดความน่าเชื่อถือ ศรัทธา เช่นนพนภาที่ชอบแขวะกัดบทบาทการเป็นพ่อและสามีของเขาในบ้านต่อหน้าลูกๆ อยู่เสมอ นั่นทำให้เขาเสียหน้า และตกเป็นเหยื่อของโครงสร้างอำนาจผู้ชายเป็นใหญ่เสียเองอีกคน
แม้จะอธิบายเช่นนี้ แต่ “ผอ.เจนภพ” ก็ยังเป็นตัวละครที่ “ทำผิด” และ “ผิดพลาด” กับการดำรงชีวิตอยู่ดี เพราะไม่รู้จักครองเรือน ครองตนในวิถีที่ดี ซึ่งเป็นที่มาของปัญหาทั้งหมด
และคงดู “ไม่เข้าท่า” มากๆ ที่จะอ้างเอาเหตุผลทางสังคมที่ว่า มารับรองการกระทำผิดของตนเอง
“ผลกระทบของความรุนแรง” นั้นส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างทั้งหมด ลูกๆ ของนพนภา ได้รับความไม่ได้เอาใจใส่ดูแล กลายเป็นเด็กมีปัญหาครอบครัว จนหันไปพึ่งติดยาและเสียคน แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่จบเพราะที่สุดในตอนท้าย ปัญหาของทุกคนจะได้รับการคลี่คลายแก้ไข และรับผลกรรมของตนเองในที่สุด
หากดูให้ละเอียด ละครเรื่องนี้ (หรือเรื่องอื่นๆ) ก็ฉายให้เห็นกำเนิดของความรุนแรง หนึ่งคือ “จิตใจมนุษย์” ยังมีความอยาก ยึดติดอยู่ โกรธ หลง อาฆาตพยาบาท ที่ไม่ยอมหลุดพ้นวังวนของกิเลสตัณหา อำนาจและการครอบครอง
บทประพันธ์เรื่องแรงเงา ถูกผลิตเป็นภาพยนตร์และออกฉายในปี พ.ศ. 2529 ภายใต้ชื่อ “แรงหึง” และถูกนำมาสร้างเป็นละครแล้วถึง 3 ครั้ง ในปี 2531, 2544 และ ปัจจุบันในปี 2555 การที่มันยังทำให้ผู้ชมไทยติดงอมแงมได้เช่นเดิมนั้น แสดงว่า สังคมไทยไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปเลยในเรื่องที่ผู้ชายก็ยังคงเป็นผู้กระทำความรุนแรงต่อผู้หญิง แม้ว่าจะผ่านมานานกว่า 26 ปี
ผมเดาเอาว่า เจตนาของบทประพันธ์นั้นน่าจะตั้งใจดีในการสื่อความหมาย และนี่ย่อมแสดงให้เห็นว่า การที่ละครผลิตซ้ำตัวเองอยู่เช่นนี้ได้ เพราะโครงสร้างสังคมไทยยังไม่เปลี่ยนแปลงเรื่องสิทธิความเท่าเทียมและความเคารพในหญิงชาย หรือแม้กระทั่งระดับความมีศีลธรรมของผู้คน
หากมองในมุมติเตียนคือ “ละครยังไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาสังคม” เท่าที่มันควรจะทำได้ หรือมองในมุมติเตียนกว่า คือ “ละครส่งเสริมสร้างความรุนแรงในสังคม” และตอกย้ำค่านิยมผิดๆ เช่นเดิม
แต่หากมองในมุมกลับ หรือเป็นสังคมไทยเองนั่นเองที่ผู้ชมมักคิดว่า “ละครมีไว้เพื่อเสพเอาความบันเทิง” ดูจบไปแล้วก็เท่านั้น เรื่องใหม่ก็กำลังจะมา หรืออีก 5-6 ปี ละครเรื่องนี้ก็จะถูกนำมาผลิตหรือตีความใหม่อีกครั้ง
หากถามตัวละครเองมันคงจะบอกว่า “นี่คือรูปแบบของโครงสร้างทางเพศในสังคมไทย” แค่อยากให้คนดูเรียนรู้ เข้าใจ ส่วนใครจะคิดแก้ไขหรือยอมรับมันอย่างไรก็แล้วแต่
ตัวละครทั้งหมดในเรื่องนี้ต่างก็ใช้ความรุนแรงกระทำต่อกัน โต้ตอบกันด้วยความแค้น และได้รับผลของความรุนแรงที่แต่ละคนกระทำ ขึ้นอยู่กับการตีความการเสพละครของแต่ละคน และของผู้ผลิตละครว่าต้องการให้ “ความรุนแรง” อยู่คู่กับสังคมไทยแบบใด
เราควรจะตั้งคำถามกับเรื่องความรุนแรงในละครว่าเราเพียงสนุกกับมัน เรายอมรับอำนาจของมัน หรือมันทำให้เราได้คิดถึงสิ่งที่เราควรแก้ไขให้ถูกต้อง
สุดท้าย “พฤติกรรม แก่ ใจดี สปอร์ต แบบท่านผอ.” สังคมไทยควรจะจัดการอย่างไรดี?
