ความฝันของ “นพ.ประวิทย์” กทค.เสียงข้างน้อย (ตลอดกาล?)
ความฝันของ “นพ.ประวิทย์” กทค.เสียงข้างน้อย สั้นๆ ง่ายๆ แต่ทำยาก!

ขอปูพื้นคร่าวๆ ว่า โครงสร้างการทำงานของ "คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)" ที่มีกรรมการ 11 คน จะแบ่งการทำงานออกเป็นคณะกรรมการ 2 ชุดใหญ่ๆ แต่ละชุดมีกรรมการ กสทช. 5 คน ไม่รวม “พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี” ประธาน กสทช.
1.คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) หรือที่เรียกกันภายในว่า “บอร์ดบอร์ดแคส” มี พ.อ.นที ศุกลรัตน์ เป็นประธาน ดูแลงานด้านที่เกี่ยวข้องกับวิทยุโทรทัศน์ อาทิ ทีวี platform ต่างๆ เนื้อหารายการ ใบอนุญาตวิทยุชุมชน ฯลฯ
และ 2.คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) หรือที่เรียกกันภายในว่า “บอร์ดโทรคม” มี พ.อ.เศรษฐพงศ์ มะลิสุวรรณ เป็นประธาน ดูแลงานด้านเกี่ยวกับดารโทรคมนาคม โดยสารพัดเรื่องที่เกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือ
การประมูลในอนุญาตประกอบกิจการ (ไลเซ่นส์) คลื่นความถี่ 3 จี 2.1 GHz ที่เป็นประเด็นร้อนในขณะนี้ อยู่ในความรับผิดชอบของ “บอร์ดโทรคม” ที่มีสมาชิก ได้แก่ พ.อ.เศรษฐพงศ์, นายสุทธิพล ทวีชัยการ, รศ.ประเสริฐ ศีลพิพัฒน์, พล.อ.สุกิจ ขมะสุนทร และ นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา
ความจริง ผลการประชุม กทค.เมื่อวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา ที่มีมติ 4:1 รับรองรองผลการประมูลไลเซ่นส์ 3 จี ไม่ใช่ครั้งแรกที่ นพ.ประวิทย์หรือ “หมอลี่” จะเป็นเสียงข้างน้อยอยู่คนเดียว
แต่การประชุม กทค.ที่มีวาระสำคัญหลายเรื่องหลายราวก่อนหน้านี้ ก็มีมติ 4:1 โดย “หมอลี่” เป็นหนึ่งเดียวเสียงข้างน้อยเช่นกัน
อาจเพราะหมวกอีกใบใน กสทช.ของ นพ.ประวิทย์ คือการเป็น “ประธานอนุกรรมการ กสทช.ด้านคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม”
พ่วงด้วยประวัติการเป็น เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค, ประธานคณะทำงานด้านคุ้มครองผู้บริโภค สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม มาก่อน
ทำให้หลายคนเชื่อว่า มุมมองของ นพ.ประวิทย์ จะโน้มเอียงไปที่ผลประโยชน์ของ “ผู้บริโภค” เป็นหลัก
ไม่แปลกที่หลายๆ ครั้ง เมื่อ นพ.ประวิทย์เสนออะไรออกมา ทั้งต่อสาธารณะ ในที่ประชุม กสทช.หรือที่ประชุม กทค. จะมีเสียงวิจารณ์มาตามหลังว่า “คิดแบบเอ็นจีโอ!”
ในการพิจารณาผลประมูลไลเซ่นส์ 3 จี เมื่อวันที่ 18 ต.ค.ก็เช่นกัน มีการวิเคราะห์กันว่า เหตุที่ยอมให้ปล่อยเสียงจากที่ประชุม กทค.มาให้สื่อมวลชนได้ฟัง เพราะต้องการจะถล่ม นพ.ประวิทย์ โดยเฉพาะ
เห็นได้จากการวอล์กเอ๊าต์ของ กรรมการ กทค. 2 คน หลัง นพ.ประวิทย์พูดติติงเรื่องการออกแบบวิธีการประมูลดังกล่าว ที่ทำให้ผู้ประกอบการ 2 ใน 3 ราย ชนะประมูลไลเซ่นส์ 3 จีในราคาตั้งต้นเพียง 4.5 พันล้านบาท
เห็นได้จากการที่พูดตำหนิ “บางคนที่ไปพูดบิดเบือนให้สื่อเข้าใจผิดจนองค์กรเสียหาย” จากกรรมการ กทค.บางคน ซึ่งชัดเจนว่าพุ่งเป้าไปที่ นพ.ประวิทย์
ความจริง นพ.ประวิทย์เคยให้สัมภาษณ์กับ “สำนักข่าวอิศรา” (www.isranews.org) ที่เฉลยว่าเหตุใดเขาถึงเป็นเสียงข้างน้อยในที่ประชุม กสทช.หรือที่ประชุม กทค.ในหลายๆ ครั้ง โดยมีการพาดพิงถึง “อิทธิพลที่มองไม่เห็น” ในสำนักงาน กสทช. ที่ทำให้งานบางอย่างไม่เดินหน้าเท่าที่ควร
รวมถึงสิ่งที่เขาฝันว่าจะเกิดขึ้นในวงการโทรคมนาคมเมืองไทย (คลิกอ่าน)
"หมอลี่" ยกตัวอย่างงานที่เขารับผิดชอบ ที่เพียงแค่บอร์ดโทรคม “มีมติ” ก็จะช่วยเหลือ “ผู้บริโภค” ได้เยอะมาก ...แต่ทำไมไม่ทำ?
1.อัตราค่าบริการขั้นสูงของการใช้บริการประเภทข้อมูล เช่น ส่งข้อความสั้น (เอสเอ็มเอส) ที่คิดกันอยู่ที่ 3 บาท 6 บาท ทั้งที่ต้นทุนการส่งเอสเอ็มเอสถูกกว่าการให้บริการประเภทเสียง (ซึ่งมีอัตราค่าบริการขั้นสูงไม่เกินนาทีละ 99 สตางค์อยู่) ถึง 10 เท่า
และ 2.ค่าโอนย้ายค่าย หรือโอนย้ายเลขหมาย ที่ผู้ประกอบการยอมรับว่า มีต้นทุนไม่เกิน 70 บาท แต่เวลานี้เก็บกันอยู่ที่ 99 บาท ซึ่งแปลว่าสามารถลดได้ทันที 30 บาท และที่ผ่านมามีการโอนย้ายกว่า 3 แสนราย แปลว่าผู้ประกอบการได้กำไรถึง 6 ล้านบาท เป็นการอยู่เฉยๆ ก็ได้เงิน
“ทุกเรื่องยากหมด เพราะเรื่องใดก็ตามแต่ที่กระทบผลประโยชน์ มันก็จะมีแรงเสียดทานแน่นอน เหมือนเรื่องที่ผมยกตัวอย่างไป ก็ไม่เข้าใจว่าเสนอไปแล้ว 3-4 เดือน ทำไมยังไม่เข้าที่ประชุม กทค.สักที ถามไปทางสำนักงานก็บอกว่ารู้ๆๆ เตรียมเสนออยู่ แต่ไม่เข้าที่ประชุมสักที” นพ.ประวิทย์กล่าว
(เล่ากันว่า ในการประชุม กทค.ครั้งหนึ่ง เมื่อถึงวาระที่จะพิจารณาเรื่องการกำหนดกติกาให้ค่ายมือถือปฏิบัติ ก็ปรากฏว่ามีกรรมการ กทค.คนหนึ่ง ปิดแฟ้มเอกสารการประชุม พร้อมพูดขึ้นมาว่า “ผมไม่มีอารมณ์ประชุมต่อแล้ว ปิดประชุมกันเถอะ แล้วค่อยมาคุยกันวันหลัง” แต่พอถึงการประชุม กทค.ครั้งต่อมา วาระดังกล่าวกลับหายไปแล้ว)
เขายังกล่าวว่า อุปสรรคสำคัญในการทำงานของ กทค.ด้านคุ้มครองผู้บริโภค คือลักษณะของสังคมไทยที่จะมีการสร้าง “เครือข่าย” ทั้งแบบเปิดเผยหรือแบบไม่เปิดเผย ดังนั้นเวลาจะขยับอะไรจึงมีลูกเกรงใจกัน เกิดอาการกระอักกระอ่วน
เป็นที่มาของคำว่า “อิทธิพลที่มองไม่เห็น” ข้างต้น
“ถ้าผมมีอำนาจ มีผลประโยชน์ คงไม่เลือกพื้นที่ พื้นที่ไหนส่งอิทธิพลได้ ผมส่งหมดแหล่ะ จะชั้นการเมือง ชั้นบริหาร ชั้นประจำ แม้แต่องค์กรผู้บริโภค ถ้าผมโน้มน้าวได้ ผมก็คงทำหมด ดังนั้นไม่มีพื้นที่ปลอดอิทธิพลแน่นอน จะบอกว่า กรรมการปลอดอิทธิพล สำนักงานปลอดอิทธิพล คงไม่เป็นจริงในประเทศไทย” นพ.ประวิทย์ยอมรับ
“ในวันนี้ค่ายมือถือในเมืองไทยก็มีแค่ 3 เจ้าใหญ่ คือเอไอเอส ดีแทค และทรู เพราะทีโอที ถูกคนบางกลุ่มเข้าไปหาผลประโยชน์มาหลายยุคหลายสมัย ทำให้ยังไม่มีศักยภาพพอจะเป็นคู่แข่งขันได้ในเวลานี้”
“แต่ถ้ามองในแง่บริการที่ให้กับผู้บริโภค ทั้ง 3 เจ้า เกือบจะมีลักษณะเดียวกัน ยกตัวอย่าง บริษัทหนึ่งออกโปรโมชั่นหนึ่ง บริษัทอื่นก็ออกโปรโมชั่นใกล้เคียงกัน เพียงแต่เปลี่ยนชื่อเท่านั้นเอง แต่ก่อนมีกลางวัน-กลางคืน ทิวา-ราตรี สุริยัน-จันทรา หรือ โทร.ในเครือข่าย 50 สตางค์ก็ทำเหมือนกันหมด จึงไม่ค่อยเกิดการแข่งขัน แต่เกิดการดำเนินการให้คล้ายคลึงกัน แล้วก็จะมีการก็อปโปรโมชั่นกันไปเรื่อยๆ”
หมอลี่พูดตรงๆ ว่า วิธีที่ดีที่สุดในการดูแลผู้บริโภคจากธุรกิจโทรคมนาคม ไม่ใช่เรื่องของ “การกำกับดูแล” แต่เป็น “การแข่งขัน”
“ดีที่สุดคือการเพิ่มเจ้าใหม่เข้าไปในตลาด เขาจะตัดราคากันลงมาเอง แต่ถ้าเราเพิ่มเจ้าใหม่ไปไม่ได้ มันก็เกิดการฮั้ว เกิดการผูกขาด”
นี่คือคำพูดของ นพ.ประวิทย์ ที่ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอิศราไว้ ก่อนการประมูลไลเซ่นส์ 3 จี ในวันที่ 16 ต.ค.2555 ถึง 3 เดือน !!!
:::เรื่องที่เกี่ยวข้อง:::
- เปิดใจ “หมอลี่” (1) : กสทช.ผู้รักษาโรค “มาตรฐาน (มือถือจีน) บกพร่อง”!
- เปิดใจ “หมอลี่” (2) : “อิทธิพลนอกระบบ” ของ 3 ค่ายมือถือยักษ์ใหญ่?
