ขรก.หญิงร้องกรรมการสิทธิฯ ถูกนายกอบต.ทำร้ายร่างกาย-คุกคามสิทธิสตรี
ขรก.หญิงอบต.ไทยาวาส นครปฐม ร้องกรรมการสิทธิมนุษยชนถูกนายกอบต.ชายตบ เหตุแย้งเบิกงบโครงการ เผยนักการเมืองหาผลประโยชน์-ลูกน้องรับกรรม กสม.ชี้คุกคามสิทธิสตรี
วันที่ 19 ต.ค. 55 ที่สำนักคุ้มครองสิทธิมนุษยชน สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นางสาวรวิภา พึ่งพร หัวหน้าส่วนการคลังระดับ 7 องค์การบริหารส่วนตำบลไทยาวาส อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนต่อนางวิสา เบ็ญจะมะโน กรรมการสิทธิมนุษยชนฯ เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของนายสมเดช สุขสมกิจ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลไทยาวาส สืบเนื่องจากกรณีที่ถูกนายกอบต.ทำร้ายร่างกายด้วยการกระชากผมแล้วตบที่ใบหน้าในสถานที่ทำงานเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 55
นางสาวรวิภา เปิดเผยถึงที่มาเหตุการณ์ดังกล่าวว่า วันเกิดเหตุตนได้เข้าไปชี้แจงต่อปลัด อบต.ไทยาวาส กรณีการเบิกจ่ายงบประมาณในโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ ซึ่งตั้งงบประมาณไว้ 1.5 แสนบาท แต่มีการสั่งให้เบิกจ่ายในโครงการปลูกต้นไม้ถวายแม่ของแผ่นดินแทนซึ่งอ้างว่าเกี่ยวข้องกัน โดยมีการเบิกจ่ายครั้งแรกเมื่อเดือนกรกฎาคม เป็นเงิน 9 หมื่นกว่าบาท โดยวิธีการตกลงราคา (ตามระเบียบพัสดุหากเบิกจ่ายงบประมาณเกิน 1 แสนบาทต้องใช้วิธีสอบราคา) ต่อมาเมื่อเดือนสิงหาคมมีการโอนงบประมาณมาเพิ่มเพื่อดำเนินโครงการเดิมที่ต่อเนื่องกันเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งตนเห็นว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสมเพราะหากจะดำเนินโครงการในระยะเวลาใกล้เคียงกันควรดำเนินการโดยวิธีสอบราคาให้มีการแข่งขันกันตั้งแต่แรก เพื่อไม่ให้เป็นการแบ่งซื้อแบ่งจ้างซึ่งผิดระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2535 ตนจึงได้แสดงความเห็นว่าไม่ควรดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างต่อ
โดยขณะที่เข้าไปชี้แจงให้ปลัดอบต.ทราบนั้น เป็นการชี้แจงด้วยเหตุผลและไม่มีการทะเลาะวิวาท โดยมีนายสมเดช นายกอบต.นั่งฟังอยู่ด้วยและเกิดความไม่พอใจ เป็นเหตุให้เข้ามาทำร้ายตนต่อหน้าพนักงานคนอื่นๆ ทั้งนี้มีหลักฐาน คือ ภาพจากกล้องวงจรปิดซึ่งบันทึกเหตุการณ์ไว้ได้
อย่างไรก็ดีหลังจากเกิดเหตุการณ์นายอำเภอนครชัยศรีได้ส่งให้ตนย้ายไปช่วยราชการชั่วคราวที่อำเภอเป็นเวลา 2 เดือนเพื่อความปลอดภัย ขณะที่นายสมเดชยังปฏิบัติราชการตามเดิม ซึ่งตนได้ทราบจากเพื่อนร่วมงานว่านายสมเดชได้พูดจาข่มขู่พนักงานใต้บังคับบัญชาไม่ให้ใครมาเป็นพยานให้ตนด้วย ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินคดี โดยแจ้งข้อกล่าวหาเพียงการใช้กำลังทำร้ายผู้อื่น ซึ่งไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่ร่างกายและจิตใจ และคดีความอยู่ในกระบวนการของศาล โดยก่อนหน้านี้ตนได้เข้าร้องเรียนประธานก.อบต.จังหวัดนครปฐม สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภาแล้ว
นางสาววนิดา กล่าวต่อว่า เหตุการณ์ดังกล่าวนอกจากจะเป็นการทำร้ายร่างกายแล้ว ยังส่งผลกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างร้ายแรง ถือเป็นการคุกคามสิทธิสตรี ทำให้เสื่อมศักดิ์ศรี และเป็นการใช้อำนาจที่ไม่เหมาะสมของผู้บังคับบัญชาซึ่งขาดวุฒิภาวะทางอารมณ์ โดยยืนยันจะต่อสู้ให้ถึงที่สุดเพื่อให้เป็นตัวอย่างของสังคมและไม่ให้นักการเมืองมากดขี่ข่มเหงข้าราชการอีกต่อไป
“องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีผลประโยชน์มากมายที่นักการเมืองมักหาช่องทางทุจริต ถ้าได้บุคคลเหล่านี้มาทำงาน ข้าราชการก็กลัว เพราะคนที่รับกรรมคือข้าราชการระดับล่าง จนทุกวันนี้แทบจะหาที่ยืนกันไม่ได้” นางสาวรวิภากล่าว
ด้านนางวิสา กล่าวว่า กรณีดังกล่าวเป็นการกระทำที่กระทบสิทธิมนุษยชนของสตรีและก่อให้เกิดความเสียทางด้านร่างกายและจิตใจ ซึ่งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตรา 32 และ 52 ระบุว่าเด็ก เยาวชน สตรี มีสิทธิได้รับการคุ้มครองจากรัฐให้ปราศจากความรุนแรงและการปฏิบัติอันไม่เป็นธรรมด้วย โดยจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุกรรมการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านเด็ก สตรี และความเสมอภาคของบุคคล กสม. เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมของนายกอบต.และประสานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้กรณีดังกล่าวเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงแบบแผนพฤติกรรมทางสังคมและวัฒนธรรมบนความไม่เสมอภาคทางเพศชาย-หญิงในสังคมไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่สังคมต้องช่วยกันแก้ไขและเปลี่ยนแปลงทัศนคติใหม่ เพื่อไม่ให้ผู้ชายใช้อำนาจคุกคามและกดขี่ผู้หญิงโดยเห็นเป็นเรื่องปกติได้อีกต่อไป