พล.ต.ต.รณพงษ์ ทรายแก้ว 'ผมไม่ได้ดีเด่! ลุยปราบยาเสพติด เพราะอยากอยู่ในที่ดีๆ'
"การเป็นข้าราชการไม่จำเป็นต้องดี 100%
แค่เป็นคนที่ทำงานเพื่อส่วนรวมมากกว่า คิดถึงตัวเองน้อยลงหน่อย
ก็จะเป็นตัวอย่างของคนรอบข้าง ลูกหลานได้ "
จากแผนจู่โจม “เรือนจำกลางจังหวัดนครศรีธรรมราช” และตรวจค้นพบโทรศัพท์มือถือ ยาบ้า-ยาไอซ์ นักโทษปัสสาวะสีม่วงกว่าครึ่งพันคาเรือนจำ ทำให้ชื่อของ พล.ต.ต.รณพงษ์ ทรายแก้ว ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช กำลังสำคัญในการบุกค้นคุกครั้งนั้น ก็กลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วประเทศ
กับฉายา “มือปราบเรือนจำ” บ้างก็ว่า “มือปราบคุกสะท้านแผ่นดิน”
เจ้าของโลโก้ “นครศรีธรรมราชโมเดล” แม้เจ้าตัวจะออกปากว่า จับงานด้านปราบยาเสพติดมานานกว่า 20 แล้วก็ตาม
ล่าสุด ผู้การรณพงษ์ มีชื่อติดโผ 1 ใน 22 รายชื่อ ผู้ที่ได้รับรางวัล ‘ข้าราชการไทย หัวใจสีขาว’ โครงการเฟ้นหาข้าราชการต้นแบบที่ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ที่งานนี้ได้ ‘บิ๊กเนม’ อย่างดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา นั่งประธานหัวโต๊ะในการคัดเลือกคนใจซื่อ มือสะอาดด้วยตนเอง
ทีมข่าวสำนักข่าวอิศรา ขอปันเวลาห้วงที่ผู้การเมืองคอน เดินทางขึ้นมาปฏิบัติราชการที่กรุงเทพฯ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ แนวคิดล้างบางยาเสพติด รวมถึงเคล็ดลับเด็ดๆ ทำอย่างไรไม่ให้ ‘เป๋’ หลงยศหลงตำแหน่ง จนติดกับดักนักการเมือง
…………………………………………………………
@ ก่อนอื่น ถามถึงการทำงานด้านยาเสพติด และความรู้สึกที่ได้รับรางวัล
(ตอบอย่างยิ้มแย้ม)...รางวัลนี้ผมภูมิใจมากกว่าได้ตำแหน่งอีกนะครับ เพราะอยากสร้างแรงจูงใจให้กับข้าราชการ ให้คนที่มีความมุ่งมั่นในการทำงาน เพื่อบ้านเมืองมีกำลังใจกันต่อไป
ส่วนการทำงานด้านยาเสพติด ผมต้องบอกว่า เรื่องนี้ ผมทำมาตั้งแต่สมัยเป็นชุดเฉพาะกิจ เป็นชุดสืบสวน เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แต่ในฐานะผู้ปฏิบัติงาน เห็นสถานการณ์ยาเสพติดในบ้านเราเป็นอย่างนี้ ก็ไม่สบายใจ เพราะจับได้มาก ก็หมายความว่า มีเข้ามามากเช่นกัน
ที่สำคัญ เราไม่เคยมีคำตอบได้เลยนะครับว่า ที่เข้ามาเยอะ จับได้กี่เปอร์เซ็นต์ เล็ดลอดออกมาเท่าไหร่
และในทางปฏิบัติจริง ในฐานะที่เป็นผู้การจังหวัด ผมต้องทำเรื่องดีมานด์ (demand) ช่วยเหลือจังหวัดด้วย ปรากฏว่า สถิติของผู้เสพไม่ได้ลดน้อยลงเลย ดีมานด์ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย
เพราะฉะนั้น จับได้ก็ไม่ได้แปลว่ายาเสพติด ลดการแพร่ระบาดลง !?!
@ แล้วแนวทางต่อไปควรเป็นอย่างไร
ผมมองว่า ในเรื่องยาเสพติด การปราบปรามต้องทำควบคู่ไปกับการบำบัดฟื้นฟูผู้เสพ เพราะถ้าไม่ลดดีมานด์ ไม่ลดจำนวนผู้เสพ จับให้ตายก็ไม่หมด
...จับนาย ก ติดคุก เข้าไปในคุกก็ค้าต่อหรือไม่ก็มีนาย ข เข้ามาแทนที่
เพราะเมื่อตัวผู้ซื้อยังอยู่ บวกกับการปราบปรามที่หนัก ราคามันก็ยิ่งแพง แรงจูงใจก็มีสูง ที่นี้เลยเป็นการเพิ่มปัญหาขึ้นไปอีก
ฉะนั้น ทางเดียวที่ผมคิดคือ ต้องแก้ที่ซับพลาย (supply) เท่านั้น นอกจากนี้ยังมองไม่ออกเลยว่า เรื่องนี้จะจบได้ยังไง ซึ่งผู้ที่ทำงานด้านยาเสพติดก็เห็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่ปัญหาคือ ขณะนี้ดูเหมือนกับว่า ยังไม่ได้มีการลงไปรับทราบปัญหาที่แท้จริงจากพื้นที่ว่า จะบำบัดให้ได้ผล แนวทางที่แท้จริงต้องทำอย่างไร
ปีที่ผ่านมามีการว่า ประเมินประเทศไทยมีผู้เสพทั้งประเทศอยู่ที่ประมาณ 1,200,000 คนแต่เอาเข้าจริงๆ ในฐานะผู้ปฏิบัติงาน ผมยืนยันว่ามีมากกว่านั้นอย่างน้อย 2-3 เท่า ซึ่งรัฐบาล ตั้งเป้าไว้ว่าจะบำบัดฟื้นฟูผู้เสพให้ได้ 1 ใน 3 ของจำนวนผู้เสพทั้งประเทศ หรือคิดเป็น 400,000 คน และในจำนวนนี้ มอบหมายให้นครศรีธรรมราช 7,000 คน เราก็ทำทะลุเป้าไป 8,000 กว่าคน
...แต่พอผมลองถามกลับว่า ในจำนวนที่ว่า 8,000 คนเนี่ยะ เลิกเสพได้กี่คน ในความรู้สึกของผม คิดว่าไม่น่าจะถึง 10% เพราะฉะนั้น งบประมาณที่ลงไปมันก็สูญเปล่า สู้ว่า ถ้าทุกคนหันมาบำบัดผู้เสพให้หายจริงๆ และกันไม่ให้กลุ่มเสี่ยงเข้าไปเสพได้อีก จะดีกว่า
ลองคิดดูถ้าผู้เสพเหลือ 100,000 คน เอามาก็ขายไม่ได้! (สีหน้าขึงขัง)
@ แต่ดูท่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย?
ก็ใช่...ผมก็ลองมองหาสาเหตุเรื่องนี้เหมือนกันว่า ทำไมประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะพม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม ทุกอย่างบ้านเราบอกว่า เหนือกว่าเขาหมด แต่ทำไมคนในประเทศเหล่านี้ไม่ค่อยเสพยา ?
ผมเข้าไปตรวจโรงงานที่นครฯ คนพม่าไม่เสพยาเลย (ลากเสียงยาว ) แต่คนไทยเสพยา 30%-40% เราจะบอกว่าเขาไม่มีกำลังซื้อ ก็อาจเป็นแค่ปัจจัยส่วนหนึ่ง เพราะลองคิดดู ม้งผลิตเองยังไม่ติดยา และในฝั่งพม่าราคายาก็ถูกกว่าบ้านเรามาก นี่เห็นหรือยังว่า ค่านิยมของคน การปลูกฝังทรัพยากรมนุษย์ของบ้านเรา ให้ปฏิเสธสิ่งไม่ดี มันไม่มีประสิทธิภาพเลย
ซึ่งผมก็กังวลมากว่า อนาคตของชาติจะอยู่ได้อย่างไร ?
@ ขบวนการมันใหญ่ด้วยหรือเปล่า เลยโค่นลำบาก เพราะระดับผู้การฯ ยังถูกตั้งค่าหัว ?
เอ่อ...ไอ้เรื่องถูกตั้งค่าหัว โดยส่วนตัวผมไม่ได้กลัวอะไร มันเป็นวิธีชีวิตของอาชีพตำรวจ เพียงแต่ไม่ถึงกับสบายใจซะทีเดียว เพราะเวลานอกราชการจะออกไปไหนมาไหนคนเดียว ลูกน้องก็ไม่กล้าปล่อยให้ไป
แต่อย่างที่ว่า เรื่องยาเสพติดมันก็ไม่มีอะไรง่ายดายขนาดนั้น เพราะรายใหญ่บางรายเป็นถึงผู้นำชุมชน ผู้นำท้องถิ่นก็มี ค้าขายกันข้ามชายแดน มีเครือข่ายเต็มไปหมด
โดยเฉพาะหากจะเปรียบเทียบสถานการณ์ยาเสพติด ในพื้นที่ภาคใต้กับพื้นที่ภาคอีสาน ที่ผมเคยไปเป็นผู้การฯ จังหวัดสุรินทร์อยู่ 3 ปีนั้น จะพบว่า ค่านิยมของคนอีสาน ผู้นำชุมชน ผู้นำท้องถิ่น ไม่มีเรื่องนี้ ไม่สนใจเรื่องยาเสพติดเลย ต่างจากภาคใต้ ผู้นำทางสังคมติดอัพยา กลางคืนก็ไปมั่วกับเด็กวัยรุ่น พกปืนพกอาวุธ กลายเป็นผู้นำไปสร้างค่านิยม สร้างต้นแบบให้เด็กและเยาวชน ยาเสพติดในพื้นที่มันเลยระบาดหนักกว่าที่อื่น
ส่วนภาคอีสานคนที่เสพยาจริงๆ ก็คือ ผู้ใช้แรงงาน
ส่วนนอกจากตั้งค่าหัวแล้ว ผมอยากเล่าต่อไปอีกนิดว่า ? พ่อค้ายาเสพติด ยังมียุทธวิธีอื่นที่ใช้ต่อกรกับเจ้าหน้าที่ เช่น การร้องเรียนชุดปฏิบัติการยาเสพติดที่เป็นผู้จับกุม เป็นเรื่องปกติมาก ผมยังเคยโดนสมัยเป็นรองผู้กำกับ สภ.อ.ทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร ทำหน้าที่เป็นชุดเฉพาะกิจจังหวัด ก็ถูกฟ้อง ถูกร้องเรียนว่า ค้ายา ซึ่งผมก็ไล่บี้ไอ้คนที่กล่าวหาไปถึงคนสุดท้าย ปรากฏว่าเกี่ยวข้องพัวพันกับพวกค้ายา เรื่องก็จบเลยไป
@ ถ้าเจอสถานการณ์หนัก ๆแบบนี้ มีเจ้าหน้าทนแรงกดดันไม่ไหว หลุดแตกแถวบ้างหรือไม่
ก็มีนะ บางคนก็แค่หยุดทำดี อยู่เฉยๆ
แต่ไอ้คนพวกที่พลิก จากดีกลายเป็นชั่ว หาแต่เงินทองเอาไปซื้อตำแหน่งก็มี
ซึ่งก็คงต้องยอมรับว่า การสร้างแรงจูงใจไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะธรรมชาติของมนุษย์ โดยเฉพาะในสังคมไทยที่หล่อหลอมให้คนเห็นแก่วัตถุ บางครั้งจึงเลือกเอาสิ่งใกล้ตัว ที่เห็นชัด เห็นง่ายมากกว่า เช่น ถ้าเป็นข้าราชการ หาเงินได้มากๆ ก็เอาไปวิ่งเต้น เห็นผลเร็ว ชัดเจนกว่าเยอะ
@ และท่านพ้นวงจรนั้นมาได้อย่างไร
โดยส่วนตัวผมยึดถือว่า การรับราชการอย่าทำเพื่อรางวัล อย่าทำเพื่อตำแหน่ง แต่ให้ทำเพื่อหน้าที่ ทำเพื่อบ้านเมือง ซึ่งคำนี้ก็ตรงกับสิ่งที่ผมถูกปลูกฝังจากครอบครัวมา บางครั้งถ้าทำอะไรผิดมากๆ ก็นอนไม่หลับ คิดถึงคำสอนพ่อแม่
อีกอย่างหนึ่ง ผมคิดว่า "ประเทศ คือ ที่อยู่ของทุกคน ผมเชื่อว่าในสังคมไทยคงไม่มีใครที่ตั้งเป้าหมายว่าจะหนีไปอยู่ต่างประเทศ หรือถึงจะมีก็คงน้อยมาก และถ้ามองแบบคนเห็นแก่ตัว ซึ่งก็รวมผมด้วยนะ ก็อยากจะอยู่ในที่ดีๆ รวมถึงลูกเรา หลานเราด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าเราช่วยกัน เชื่อว่าทุกคนจะได้อานิสงค์ ได้สังคมที่ดีกันทุกคน ซึ่งตรงนี้ผมมองว่าน่าจะเป็นประโยชน์กว่า"
...การเป็นข้าราชการไม่จำเป็นต้องดี 100% ครับ แค่เป็นคนที่ทำงานเพื่อส่วนรวมมากกว่า คิดถึงตัวเองน้อยลงหน่อย ก็จะเป็นตัวอย่างของคนรอบข้าง ลูกหลานได้
ผมก็ไม่ใช่คนที่ดีเด่ 100% เคยทำผิดเหมือนกัน
ที่สำคัญนะครับ คนที่ทำดีจริงๆ นะ แม้จะไม่มีคนเห็น แต่ผมเห็นมานักต่อนักแล้วว่า ลูกหลาน ครอบครัวก็จะดีตามไปด้วย ส่วนใครที่ทำดีไม่จริง สร้างฉาก ไม่เห็นหรือครับ...บางคนตำแหน่งใหญ่โต ลูกก็เละเทะ
...ไม่รู้จะจริงหรือเปล่านะ แต่ผมคิดอย่างนี้ (ยิ้ม)
@ แต่หลายคนยังมีความคิดว่า คนๆ เดียวคงเปลี่ยนอะไรไม่ได้
เราต้องเลิกมองว่า เป็นแค่ข้าราชการตัวเล็ก ๆ คนตัวคนเดียวไม่สามารถแก้อะไรได้ เพราะถ้ามีคนหลายคนคิดแบบนี้ มันก็แก้อะไรไม่ได้จริงๆ
แต่...ถ้าต่างคนต่างคิดว่าทำได้ ผมเป็นผู้การเมืองนครฯ ก็แก้ที่นครฯ ใครอยู่ตรงไหนก็แก้ตรงนั้น ถ้าคนคิดอย่างนี้ใน 77 จังหวัดทั่วประเทศทุกอย่างก็น่าจะดีขึ้น
ลูก หลาน เหลน โหลนของผมต้องอยู่ประเทศไทย ผมก็อยากให้ดีขึ้น ผมจึงมุ่งมั่นที่จะทำแบบนี้
และความรู้สึกส่วนตัวที่ว่า ความสุขมันไม่ใช่เงิน ไม่ใช่ยศ มันเรื่องของสังคมที่ดี เป็นเรื่องที่ใจเราอยู่แล้วมันสบาย ต่อให้เรามีเงินเป็นร้อยล้านพันล้าน ยศเป็นพลเอก มีบ้านใหญ่โต มีรั่วรอบขอบชิด แต่ถ้าสภาพแวดล้อมทั้งหมดมันไม่ดี ออกนอกบ้านคนติดยาทั้งเมือง ก็ยากที่จะดำรงชีวิต ยากที่จะมีความสุข
@ ท่านอาจเป็นคนที่มุ่งมั่น ตั้งใจทำงานสูง แต่ภาพลักษณ์ของตำรวจในเวลานี้ การรับส่วย-วิ่งเข้าหานักการเมืองก็ยังมีอยู่
ผมก็เข้าใจเห็นใจพวกเขาเหล่านี้นะ ที่ผมอาจจะทำอย่างนี้ได้ เพราะตนเอง ครอบครัวมีความพร้อม และเป็นคนเคยลำบากมาก่อน
สมัยที่ยศพลตำรวจ ก็เคยขับแท็กซี่อยู่กรุงเทพ 2 ปี (ยิ้ม) ทำให้ผมไม่กลัวความลำบาก เข้าตาจนก็พร้อมทำทุกทางที่เป็นอาชีพสุจริต แต่สำหรับหลายคนที่ไม่มีความพร้อม เขาก็อาจมีวิสัยของมนุษย์ ต้องดิ้นรน ไขว่ขว้า ถ้าได้ตำแหน่งก็ได้ค่าตอบแทนมากขึ้น .....
และไอ้...ตำแหน่งที่ว่า ต้องซื้อจากนักการเมือง ไม่ใช่แค่บาทสองบาทนะครับ ตำแหน่งผู้กำกับ ซื้อขายกันราคา 3-4 ล้านบาท ถามว่าเมื่อไหร่จะได้คืน
เพราะฉะนั้น ถ้าสรุปตรงนี้ รากเหง้าของปัญหาก็มาจากการซื้อขายตำแหน่งจากนักการเมือง ตำรวจจึงต้องไปเอื้อกับกลุ่มธุรกิจนอกระบบ เพื่อเอามาเป็นทุน แต่ถ้านักการเมืองไม่เอา หัวไม่สายหางก็ไม่กระดิก อธิบดีคนไหนไม่เข้าท่าก็ปลด ย้าย ที่นี้ไม่มีใครกล้าครับ
แต่เมื่อยุคหลังอำนาจการแต่งตั้งไม่ได้อยู่ที่ผู้บังคับบัญชา เดี๋ยวนี้เลยกลายเป็นว่า ถึงเวลาไม่วิ่ง ไม่ได้จริงๆ
ขนาดนี้ผมยังถูกเลื่อยขา (หัวเราะ)
อืม.. (นิ่ง) ผมว่านะอย่างไปโทษ แต่ข้าราชการ ผู้ใหญ่ ผู้บริหารทั้งฝ่ายข้าราชการ ฝ่ายนักการเมืองต้องร่วมกันแก้ไข มีระบบคุณธรรมให้มากขึ้น เห็นแก่คนดี คนทำงาน
"ผมเชื่อว่าเรื่องเหล่านี้จะค่อยๆ หายไป ส่วนเรื่องการรับส่วยนั้น ถ้าพบว่า มีกาทุจริตต้องลงโทษสถานหนัก ไม่ใช่แค่ย้าย ไล่ออกจากราชการ แต่ต้องจับติดคุกด้วย"
@ ภาพลักษณ์ของตำรวจในวันนี้ ถึงจุดต่ำสุดหรือยัง และกู้กลับได้อย่างไร
ถึงเวลานี้ ผมก็ยังเชื่อว่า ในองค์กรตำรวจมีคนดีอยู่เยอะกว่าคนไม่ดีครับ (เสียงเข้ม)
ไม่เช่นนั้นองค์กรคงอยู่ไม่ได้ เพียงแต่ว่าเรื่องราวของคนดีไม่ได้รับการตีแพร่ ซึ่งเรื่องนี้ผมว่า สื่อมวลชนสามารถช่วยได้ โดยนำเสนอเรื่องราวของบุคคลที่ทำดี ให้ดังนาน ๆ ไม่ใช่ไปไปยกย่องแต่คนมีเงิน มีฐานะ มีตำแหน่งเท่านั้น
@ พูดคุยกันมาถึงตรงนี้ ชักเริ่มสงสัยแล้วว่า สรุปสุดท้ายคอร์รัปชั่นกับยาเสพติด เรื่องไหนทำลายประเทศได้มากกว่ากัน
ผมว่า คอร์รัปชั่น เป็นปัญหาใหญ่สุดของประเทศนะ เพราะถ้าไม่มีคอร์รัปชั่น การปราบยาเสพติดก็จะทำได้ดีขึ้น ยาเสพติดก็จะลดน้อยลง
และถ้าไปดูกันจริงๆ ยาเสพติดที่มันบานปลายไม่จบไม่สิ้น ส่วนหนึ่งก็มาจากปัญหาคอร์รัปชั่น งบประมาณมากๆ ไม่ใช่เรื่องดีนะครับ ถ้ากำกับดูแลไม่ดี ข้าราชการอาจเสพติดงบฯ ได้เหมือนกัน
@ สุดท้ายนี้ นอกจากนครศรีธรรมราชโมเดล จะเห็นแอคชั่นจากผู้การฯ เรื่องอะไรบ้างในอีกเร็วๆ นี้
ที่นครฯ เดือนตุลาคมนี้ เราก็ตั้งต้นจัดกิจกรรมสภากาแฟ เพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัด เจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงศาล เข้ามาพบปะนั่งคุยแลกเปลี่ยนกันเดือนละครั้ง เพื่อสื่อสารทำความเข้าใจ เกี่ยวกับสถานการณ์ ปัญหาติดขัดในการทำงานด้านยาเสพติด ไม่ใช่ต่างคนต่างทำเช่นในปัจจุบัน
โดยเฉพาะกับศาล เขาก็ถือว่า เป็นสิทธิของเขาตามรัฐธรรมนูญที่จะใช้ดุลพินิจว่าในเมื่อผู้ต้องหา ยังไม่ได้ถูกตัดสิน ก็ยังถือว่าไม่ผิด สามารถปล่อยตัวชั่วคราวได้ แต่เรากลับพบว่า พ่อค้า ที่ได้รับการปล่อยตัวเหล่านี้ 90% กลับไปค้าซ้ำหมด ฉะนั้นจึงต้องสื่อสารปัญหาต่าง ๆ ซึ่งกันและกัน และขณะนี้ก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น เราก็พยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันไปเรื่อย อย่างนี้ล่ะครับ.
หมายเหตุ: รางวัลโครงการข้าราชการไทย หัวใจสีขาว จะมีการมอบรางวัลอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 พ.ย.นี้ ที่ศุนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ