แลกข้าว-บริหารจัดการน้ำ ‘วงการข้าว’ แฉไทย-จีนแอบตกลงกันจริง
นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวยัน 1 ปี ไม่มีส่งออกสักเมล็ด ซัด MOU ทำไม่ได้ หวั่นซ้ำรอยขายไม่ได้เงิน ด้านกูรูวงการข้าว ย้ำเรื่องสต็อกยังมีปัญหา ชี้ขายจีนได้ประเทศเดียวไม่พอ
ภายหลังที่กระทรวงพาณิชย์ระบุว่า รัฐบาลมีออเดอร์ระบายข้าวในสต็อกแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจีจริง ปริมาณทั้งสิ้น 7.3 ล้านตัน ภายใต้ 6 สัญญา ขายให้กับ 4 ประเทศคือ จีน อินโดนีเซีย บังกลาเทศ และไอเวอร์รี่โคสต์ โดยขณะนี้ส่งมอบไปแล้ว 2 ล้านตัน เหลือค้างส่งมอบอีก 5 ล้านตัน ซึ่งจะทยอยส่งมอบให้จนถึงสิ้นปี 2556 แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยราคาขายได้ ทั้งนี้ เป็นการขายหน้าโกดัง ที่รัฐไม่ต้องรับผิดชอบค่าปรับปรุงสภาพข้าว ค่าขนส่ง ค่าระวางเรือ หรือค่าประกันภัยสินค้านั้น
นายวิชัย ศรีประเสริฐ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าว กล่าวกับผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศราว่า ที่รัฐบาลอ้างว่า ทำจีทูจีกับหลายประเทศแล้วนั้น ผู้ส่งออกยืนยันได้ว่า ไม่เป็นความจริง ไม่เคยเห็นสถิติการส่งออกข้าวเลย ตลอด 12 เดือนที่ผ่านมาของโครงการจำนำข้าว ยังไม่เห็นแม้แต่เมล็ดเดียว ตัวเลข 3 แสนตันที่รัฐบาลบอกว่ามีการระบายออกไปก่อนหน้านี้ก็เป็นตัวเลขในสมัยรัฐบาลอื่น ขณะนี้ไม่มีตัวเลขการส่งออกของรัฐบาลนี้ ส่วนที่บอกว่ามีการเซ็น MOU หรือทำสัญญานั้น ในทางปฏิบัติก็ไม่สามารถทำได้ ไม่มีประโยชน์ ต้องมี L/C (LETTER OF CREDIT) ต้องให้ธนาคารที่เชื่อถือได้มารับรอง ถึงจะมีการส่งมอบข้าวได้ ไม่อย่างนั้นส่งข้าวไปแล้วเก็บเงินไม่ได้
"เราเคยเจอกรณีกับประเทศเกาหลีเหนือ ที่เปิด L/C แต่เปิดจากธนาคารที่ใช้ไม่ได้ เราส่งข้าวไป 3 แสนตัน ยังไม่ได้เงิน ซึ่งผ่านมา 10 ปีแล้ว ฉะนั้น ไม่ใช่ว่าเราจะส่งข้าวไปให้ใครก็ได้ ต้องถามรัฐบาลว่า การขายข้าวทำไมต้องเป็นความลับ ทำไมเปิดเผยต่อสาธารณะไม่ได้ ไม่มีที่ไหนต้องปิดเป็นความลับ เป็นการอ้าง ไม่กล้าเจอกับความจริงมากกว่า" นายวิชัย กล่าว และว่า ขณะนี้ปัญหาต่างๆ เริ่มแสดงอาการออกมา แต่รัฐบาลกำลังหาทางลงไม่ได้ ยังไม่มีทางที่จะระบายออกในราคาสูงอย่างที่วางเอาไว้ ต่อให้เอกชนซึ่งขายข้าวเก่งกว่ารัฐบาลก็คงขายไม่ได้
"ปัญหาอยู่ที่รัฐบาลตั้งราคาผิด แทนที่จะอิงตามกลไกตลาด เพิ่มลดได้ตามสถานการณ์โลกที่ไม่นิ่ง กลับตั้งราคาเองและเป็นราคาเดียว แล้วนั่งคิดเองว่า ทั่วโลกจะตาม ซึ่งผ่านมา 12 เดือน ก็ชี้ชัดแล้วว่า ไม่มีใครตาม การตั้งราคาสูงจึงส่งผลเพียงให้ประเทศได้เงินน้อยลง เพราะยอดส่งออกหดตัวเท่านั้น และเหตุนี้เองที่เกษตรกรต้องรู้ปัญหาได้แล้วว่า แม้เกษตรกรจะได้ประโยชน์จากขายข้าวได้ราคาดี แต่จากนี้รัฐบาลคงรับซื้อไม่ได้ตลอดไป และการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนอยู่จะตรงไหน"
ฉะรัฐบาลฉลาดเล่น แอบระบายข้าว
ขณะที่แหล่งข่าวในวงการข้าว ผู้คร่ำหวอดในแวดวงข้าวมาเป็นเวลานาน เปิดเผยข้อมูลเรื่องการระบายข้าวกับผู้สื่อข่าวว่า เชื่อว่าขณะนี้รัฐบาลมีการระบายข้าว เนื่องจากขณะนี้มีเงินหมุนเวียนกลับคืนมา โดยใช้วิธีแบบฉลาดเล่น เช่นเดียวกับการเปลี่ยนโกดังรับฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าว มาเป็นเช่าโกดัง เนื่องจากเจ้าของโกดังไม่ต้องรับผิดชอบ เป็นวิธีการเลี่ยงบาลี
โดยวิธีการขาย จะให้ผู้ส่งออกหาออเดอร์จากรัฐวิสาหกิจต่างประเทศ ซึ่งส่วนมากเป็นประเทศจีน ที่ทำเรื่องขอซื้อจากรัฐบาลไทย และตั้งผู้ส่งออกข้าวเป็นผู้แทนในประเทศไทยดำเนินการเรื่องนี้ มีการเจรจากัน เพื่อหลีกเลี่ยงการประมูล และเมื่อขายเสร็จจึงไม่ต้องพิจารณาตรวจสอบว่า มีส่งออกข้าวหรือไม่ และต่อให้มีการส่งออก ก็เป็นการส่งออกในชื่อผู้ส่งออกไทย จึงไม่ปรากฏชื่อจีนหรือต่างประเทศ จึงเป็นที่มาของการไม่เปิดเผยข้อมูลการส่งออกต่างๆ
"จากการตรวจสอบพบว่า ตัวเลขการส่งออกต่อเดือนที่ผ่านมาประมาณเดือนละ 5 แสนตัน กระทั่งสิ้นสุดเดือนกันยายนที่ผ่านมารวมประมาณ 5 ล้านตัน ก็ไม่ใช่ตัวเลขที่หวือหวา ทั้งนี้ ในวงการข้าวยังมีการพูดคุยกันด้วยว่า จะมีการระบายข้าวประมาณ 2 ล้านตัน แลกกับการบริหารจัดการน้ำของประเทศจีน ซึ่งเมื่อเช็คไปทางประเทศจีน ทราบว่า มีการพูดคุยกันจริง แต่จะรับมอบกันประมาณกลางปี 2556 โดยรอดูความชัดเจนของการคัดเลือกโครงการบริหารจัดการน้ำก่อน รวมทั้งมีการเจรจาเรื่องรถเมล์ ขสมก. 4,000 พันคันกับประเทศจีนด้วยเช่นกัน"
แหล่งข่าว กล่าวต่อว่า แม้ตามสถิติของประเทศจีนที่ผ่านมาไม่เคยนำเข้าข้าวจากไทยมากขนาดนี้ พบว่า มากที่สุดในสมัยที่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกฯ เพื่อแลกกับรถถัง และขณะนี้ประเทศจีนก็ไม่ได้ขาดแคลนข้าว เพียงแต่ส่วนหนึ่งเพื่อให้ได้งานบริหารจัดการน้ำของประเทศไทย และนำข้าวส่วนนี้ไปขายให้ประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งจีนมีบริษัทก่อสร้างรับงานต่างๆ เอาไว้ รวมทั้งขายให้ประเทศสังคมนิยมที่อยู่ในทวีปแอฟริกา จึงต้องระวังว่าจีนจะมาแย่งตลาดปกติของไทยไปอีกหรือไม่
อย่างไรก็ตามการระบายข้าวที่เห็นและเป็นไปได้ตอนนี้มีเพียงประเทศจีนเท่านั้น ส่วนประเทศฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียก็ยืนยันแล้วว่าไม่ซื้อข้าวจากไทย เพราะประเทศเขาก็ยากจน คงไม่สามารถตอบประชาชนได้ว่าจะมาซื้อข้าวราคาแพงจากประเทศไทยทำไม ทั้งที่ ซื้อจากเวียดนามได้ราคาถูกกว่า ส่วนบังกลาเทศก็ซื้อจากอินเดีย ฉะนั้น เรื่องสต็อกข้าวจึงยังเป็นเรื่องที่น่าห่วง และหากรัฐบาลไม่ปรับปรุงแก้ไข ก็จะต้องรับผิดชอบต่อประชาชนที่ได้ประโยชน์ระยะสั้นและเดือดร้อนระยะยาวจากนโยบายนี้ด้วย