ดร.สุรินทร์ ปลุกเอกชนไทยลงทุนอาเซียน ระบุชักช้า ทุกอย่างจะแพง
ส.อ.ท.ชี้แก้ กม.ไทยกว่า 40 ฉบับ ถ่วงขา-บั่นทอนขีดแข่งขันเอกชน จี้รัฐเร่งแก้ไข เสนอสร้างความชัดเจนในเรื่องระบบเงินทุน
วันที่ 9 ตุลาคม คณะกรรมการนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร 2550 ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง จัดเสวนาวิชาการ “ประเทศไทยกับการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน” ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่าลาดพร้าว กรุงเทพฯ มี ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานบริหารบริษัท ซีแวลู จำกัด (SEA VALUE) ร่วมเสวนา
ดร.สุรินทร์ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีความตื่นตัวในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนสูงมาก อาจเพระตระหนักแล้วว่าตลาดอาเซียนนั้นมีขนาดใหญ่กว่าตลาดของประเทศไทยถึง 10 เท่า และยังมีข้อตกลงที่เชื่อมโยงกับอีก 6 ประเทศขนาดใหญ่ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อาเซียนจึงเป็นพื้นที่ให้กับธุรกิจภาคเอกชนและภาคอุตสาหกรรมของไทย ออกไปโตนอกประเทศ ออกไปลงทุนส่งกำไรกลับบ้าน และขณะนี้ในประเทศญี่ป่น เกาหลี ก็กำลังใช้โมเดลเช่นว่านี้อยู่ ดังนั้น จึงอยากให้เอกชนไปรีบคิดรีบทำ ถ้าออกไปช้าทุกอย่างจะแพง
ส่วนไทยจะสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นในอาเซียนได้หรือไม่นั้น ดร.สุรินทร์ กล่าวว่า ยังไม่แน่ใจ เพราะความตื่นตัวกับความสามารถในการแข่งขันเป็นเรื่องที่ต้องมองแยกจากกัน อย่างไรก็ตาม มองว่า ความสามารถในการแข่งขันนั้นจะมีมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลที่จะร่วมผลักดัน เตรียมความพร้อม โดยต้องเริ่มจากการ 1.ปรับวิธีคิดเปลี่ยน เปลี่ยนวิธีมอง 2.ทุ่มเทค้นคว้าวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม เพื่อให้สินค้า บริการดีขึ้นกว่าเดิม แต่ปัจจุบันพบว่างบประมาณด้านการวิจัยของไทยยังอยู่ที่ 0.24% ของจีดีพี ขณะที่สิงคโปร์อยู่ที่ 2.85% ของจีดีพี สัดส่วนยังต่างกันมาก 3.ต้องมีการเตรียมความพร้อมด้านทรัพยากรมนุษย์ เพราะเวทีอาเซียนเป็นเวทีของคนรุ่นใหม่ ต้องสอนให้คนเหล่านี้สื่อสารเป็น ต่อรองเป็น เพราะระยะหลังมานี้คนไทยไม่พูดเลย หนักเข้าก็อ่านตามข้อความที่เขียนในกระดาษ
“และ 4.ต้องสร้างความมั่นคงให้กับองคาพยพภายในประเทศ เชื่อมโยงการทำงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ แต่ขณะนี้กลับพบว่า ยังขาดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดูได้จากงบประมาณแผ่นดินปีนี้วงเงิน 2 ล้านล้านบาท ทุกกระทรวง กรม แผนก ของบเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องนี้ จนกลายเป็นว่าอาเซียนเป็นโอกาสที่ใช้อ้างเพื่อของบ เหมือนกับสมัยหนึ่งที่บ้านเราเคยตื่นเรื่องโรคเอดส์ ทุกหน่วยงานในขณะนั้นก็ของบไปทำเรื่องนี้เช่นกัน ฉะนั้นจึงอยากให้ทุกภาคส่วนหันหน้าเข้าหา สร้างความเป็นปึกแผ่น จัดทัพใหม่เพื่อขึ้นเวทีอาเซียน และเชื่อว่า แม้ในเวทีนี้การแข่งขันจะสูงมาก แต่อาเซียนก็จะเป็นประโยชน์ เป็นขุมทอง สำหรับคนที่พร้อม คนที่เตรียมตัว มีเครื่องไม้เครื่องมือ เทคโนโลยีครบครัน” ดร.สุรินทร์ กล่าว
จี้แก้ กม.ถ่วงขาเอกชน
ด้านนายพยุงศักดิ์ กล่าวถึงโอกาสการค้าการลงทุนของไทยในเวทีอาเซียนว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีข้อได้เปรียบ เพราะระหว่างปี 2553 - 2554 ไทยเกินดุลการค้ากับอาเซียน มูลค่าประมาณ 1.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และ 9 เดือนของปี 2555 ก็มีแนวโน้มเกินดุลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากประเทศไทย ต้องการเป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนในอาเซียน ปัจจัยภาครัฐจะต้องเอื้อ ทั้งเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน มาตรการด้านภาษี ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน เพราะมีการประเมินแล้วว่า การค้าชายแดนโดยรอบประเทศไทยขณะนี้มีมูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านบาท
“ขณะเดียวจะต้องมีการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับเอกชน วางแผนการบริหารจัดการประเทศให้เกิดรวมถึงมีการแก้ไขกฎหมาย กฎระเบียบต่างๆ ประมาณ 30-40 ฉบับที่เป็นอุปสรรค ผูกขา ถ่วงขาให้ภาคเอกชนทำธุรกิจได้อย่างยากลำบาก บั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างเร่งด่วน”
นายพยุงศักดิ์ กล่าวฝากถึงนักธุรกิจที่จะเข้าไปลงทุนในประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยว่า จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับเรื่อง เทคโนโลยีสีเขียว (Green technology) ผลิตภัณฑ์ (Green product) เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับชุมชน สังคมของประเทศนั้นๆ ได้ และจะต้องไม่เอารัดเอาเปรียบจนเกินไป ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นการสร้างทัศนคติเชิงลบต่อนักธุรกิจไทย ในทางกลับกันการดำเนินธุรกิจ จะต้องเป็นไปในลักษณะแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์ ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์และเติบโตไปพร้อมๆ กัน
ส่วนนายพจน์ กล่าวว่า การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงไม่อยากให้มองเรื่องนี้ด้วยความกังวลใจมากนัก ต้องรู้จักยอมรับและปรับตัว ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าการเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้ ภาครัฐควรเข้ามีบทบาทในเรื่องการอบรมให้ความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับอาเซียน โดยเฉพาะในส่วนของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และจะต้องมีการจัดสรรงบประมาณ เพื่อส่งเสริมเอสเอ็มอีที่คัดสรรแล้วว่ามีสามารถในแข่งขันและจะเติบโตได้ ต้องเร่งในเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะเรื่องการขนส่งทั้งทางรางและทางน้ำ ส่วนที่มีการระบุว่าส่งเสริมให้นักลงทุนรายใหญ่ๆ ออกไปลงทุนนอกประเทศนั้น ขณะนี้เชื่อว่าหลายแห่งมีความพร้อม อยากออก แต่ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องระบบเงินทุนเท่าที่ควร ซึ่งเรื่องนี้ภาครัฐต้องเร่งสร้างความชัดเจนต่อไป